เข้าสู่เว็บสำนักหอสมุดฯ


รายละเอียดข้อมูล
เรื่อง :
ทำสวน เลี้ยงปลาอิงธรรมชาติ งานสร้างความสุข ของครอบครัวทิพย์มณี ที่ลำพูน
   
ปัญหา :
 
 
หลังจากประสบความสำเร็จกับอาชีพจำหน่ายหนังสือ ในนามร้าน "แบล๊คแค็ท"ที่อยู่บริเวณด้านหน้านิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน คุณเกียรติภูมิและคุณกรกมล ทิยพ์มณี สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน เบอร์โทร. (084) 173-2499 ก็ยังฝันที่จะเสริมรายได้ โดยรับเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งของรัฐบาล และทำหมู่บ้านจัดสรรขนาดเล็ก เพื่อตอบสนองพนักงานที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วย

ที่สุดความฝันของเขาและเธอก็เป็นจริง แผงจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลขนาดใหญ่ ที่ตลาดสดสันป่าฝ้ายก็เกิดขึ้น พร้อมทั้งชื่อหมู่บ้าน "ก.ไก่" มียอดจองทะลุเป้าทุกโครงการ

ธุรกิจดังกล่าวอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ เพื่อสะดวกในการดูแลและการจัดการทั่วๆ ไป

จากมีลูกน้องเพียง 4-5 คน ก็เพิ่มเป็นหลายเท่าตัว เพื่อช่วยกันดูแลร้าน และจำหน่ายสินค้า ส่วนตัวคุณเกียรติภูมิและคุณกรกมลผันตัวเองเป็นนักธุรกิจ

"เราทำทุกอย่างที่ทำรายได้เข้ามา เพราะว่าตอนนี้ได้มอบหมายงานให้กับลูกน้องรับผิดชอบแทน ประกอบกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เขาให้เงินกู้มาง่ายและเยอะ เนื่องจากเรามีเงินฝากหมุนเวียนทุกวัน อย่างไรก็ตาม ก่อนคิดจะทำอะไร เราสองคนจะคิดอย่างหนัก เพื่อป้องกันความล้มเหลวหรือความขาดทุน"คุณกรกมล กล่าว

คุณเกียรติภูมิและคุณกรกมลปัจจุบันนี้คิดมากกว่าทำ จึงเป็นที่มาให้ทำการเกษตรเพื่อคลายเครียดจากอาชีพหลักๆ และหาเวลาว่างหรือช่วงเวลาทำการเกษตร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา คิดงานใหญ่ๆ ทำเสมอ

"เมื่อต้องตัดสินใจงานใหญ่ๆ เกี่ยวกับธุรกิจ ผมกับแฟนต้องเข้ามาที่สวน เพื่อมาอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความคิดที่รอบคอบขึ้น สามารถตัดสินใจงานใหญ่ๆ ได้"

สวนเกษตรของเขาทั้งสองนั้น อยู่ห่างจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ประมาณ 20 กิโลเมตร ใกล้กับอุทยานแห่งชาติขุนตาล ข้างๆ พื้นที่มีแม่น้ำแม่ทาไหลผ่าน และภูเขาล้อมรอบ

ปลายฝนต้นหนาวที่นี่อากาศดีมาก ตื่นเช้าเจอหมอกคล้อยต่ำปะทะผิวน้ำตามลำธาร ช่วงบ่ายๆ แม้ว่าดวงอาทิตย์จะเจิดจ้า แต่อากาศก็ยังเย็นสบาย

ที่สวนแห่งนี้มีเนื้อที่อยู่ประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในแบ่งเป็น 3 ส่วน คือที่พักอาศัย 1 ไร่ ปลูกไม้ผล 3 ไร่ และพื้นที่ที่เหลืออีกประมาณ 6 ไร่ เป็นบ่อเลี้ยงปลาเบญจพรรณ

"สภาพพื้นที่เดิมที่นี่เป็นดินทราย และบริเวณบ่อเลี้ยงปลา 6 ไร่ นั้น เจ้าของเดิมเขาขุดทรายขาย และปล่อยให้ธนาคารเข้ามายึดที่ดินขายทอดตลาด ผมและแฟนมาดูพื้นที่และชอบ เพราะว่าอากาศดีมาก จึงไปติดต่อขอซื้อจากธนาคาร เมื่อปี 2547 ในราคา 200,000-300,000 บาท เท่านั้นเอง"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

พร้อมกับเล่าย้อนกลับไปว่า "ช่วงๆ แรกนั้น สภาพพื้นที่ไม่สามารถปลูกพืชได้เลย เนื่องจากเป็นดินทราย ผมต้องซื้อดินจากที่อื่นมาถม เพื่อต้องการปลูกต้นไม้ พร้อมกับทำรั้วกำแพงกั้นรอบพื้นที่ และสร้างที่พักด้วย ซึ่งทำให้หมดเงินไปหลายแสนบาทเหมือนกัน"

หลังจากคุณเกียรติภูมิและคุณกรกมลได้สั่งให้ลูกน้องวางระบบน้ำหรือสปริงเกลอร์ทั่วทั้งสวน ทั้งนี้ เพื่อต้องการปลูกไม้ผลดังที่ได้ตั้งใจไว้

"ตอนนี้ผมปลูกไม้ผลหลายชนิดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง กระท้อน ส้มโอ ลำไย และกล้วย เป็นต้น ซึ่งกำลังเจริญเติบโตดีมาก โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าขณะนี้สามารถเก็บผลผลิตออกสู่ตลาดได้บ้างแล้ว ส่วนผลไม้อื่นๆ คิดว่าสัก 1-2 ปี คงจะให้ผลผลิต ซึ่งอาจจะมีไม่มากนัก แต่ผมว่ามันคุ้มกับคุณค่าทางจิตใจ เพราะว่าผมไม่เน้นขาย แต่จะเน้นไว้เก็บกินเองมากกว่า คืออยากให้มีผลไม้ให้ผลผลิตทุกเดือน ผมก็มีความสุขแล้ว"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

เลี้ยงปลาเลียนแบบธรรมชาติ

พื้นน้ำลึกเกือบ 6 เมตร มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาสวาย ปลายี่สก ปลานิล และปลาตะเพียน เป็นต้น ทั้งเป็นปลาจากธรรมชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยเอง และพันธุ์ปลาที่คุณเกียรติภูมิซื้อมาจากโรงฟักเพาะมาปล่อยเสริมลงไป ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ปลา

คุณเกียรติภูมิ เล่าว่า เดิมที่นี่เป็นท้องนา เจ้าของเดิมเขาขายดิน เมื่อปล่อยทิ้งไว้ทำให้ปลาจากธรรมชาติเข้ามาอาศัยอยู่เยอะ นอกจากนี้ ยังมีนกต่างๆ มาจับจองพื้นที่เพื่อออกลูกออกหลาน ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมค่อนข้างสมบูรณ์ และไม่มีใครเข้ามารบกวนด้วย

บ่อดินที่ใช้เลี้ยงปลา เขาจะแบ่งออกเป็น 2 โซน คือปล่อยให้วัชพืชขึ้น กับพื้นที่โล่งเหมือนกับบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไป

"เหตุผลที่ผมทำอย่างนี้ ก็เพราะว่าต้องการให้เหมือนกับในธรรมชาติ ซึ่งมีพวกปลากินเนื้อ และปลากินพืชอาศัยอยู่รวมกันได้ โดยมีปริมาณปลาไม่ลดลง คือแหล่งที่ปล่อยให้วัชพืชขึ้นนั้นก็จะกลายเป็นที่อยู่ของพ่อแม่พันธุ์ปลา และที่หลบซ่อนของลูกปลา พวกปลากินเนื้อก็ไม่สามารถเก็บกินลูกปลาได้หมด ยังเหลือพอให้ดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อีก"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

ทุกๆ วัน เขาจะสั่งให้ลูกน้องหว่านอาหารสำเร็จรูปลงไปบริเวณพื้นที่โล่ง ประมาณ 5-6 กิโลกรัม ต่อวัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นอาหารเสริมให้ปลาทั่วๆ ไป

"อาหารหลักของสัตว์น้ำที่นี่ก็คือ ห่วงโซ่อาหารของปลาแต่ละชนิด ปลากินเนื้อก็กินลูกปลา ปลากินพืชก็กินพวกหญ้าหรือวัชพืชรวมทั้งแมลงที่อยู่ในบ่อเป็นอาหาร ส่วนอาหารสำเร็จรูปนั้นมันเป็นอาหารเสริมเท่านั้นเอง"

ตั้งแต่ซื้อที่ดินแปลงนี้มา 3 ปี เขาไม่เคยสูบน้ำจับปลาขายเลย เพียงแต่วางอวนและตกเบ็ดเท่านั้น เนื่องจากสภาพบ่อน้ำเลี้ยงปลาที่นี่ลึก อีกทั้งไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินด้วย

"ตอนนี้ผมมีคำตอบแล้วว่า วิธีเลี้ยงแบบนี้ได้ผลดีพอใช้ได้ โดยเฉพาะต้นทุนการเลี้ยงไม่สูงเลย ส่วนผลผลิตปลาที่ได้ส่วนใหญ่แล้วแต่ละตัวจะใหญ่มาก พวกปลาดุก ปลาช่อน ตัวละ 2-3 กิโลกรัม ส่วนปลานิล ปลาตะเพียน ตัวใหญ่เกือบกิโลกรัมเลยทีเดียว"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

และว่า "ในการจับปลามากินหรือขายแต่ละครั้งนั้น เพียงแต่เราวางอวนก็ได้ปลาประมาณ 30-40 กิโลกรัมแล้ว โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 20 นาที เท่านั้นเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมจับปลาขึ้นมากินเดือนละ 1-2 ครั้ง เหลือจากกินก็สั่งให้ลูกน้องนำไปขายที่ตลาดท้องถิ่น ก็พอมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ในสวนได้บ้างแล้ว"

ปล่อยปลาบึกเสริม เพื่อเพิ่มมูลค่า

กลางปีที่ผ่านมา คุณเกียรติภูมิ ได้ชวนคุณกรกมลภรรยาคู่ทุกข์คู่สุข เดินทางจากจังหวัดลำพูน มุ่งหน้าสู่ฟาร์มเพาะขยายพันธุ์ปลาบึกของ คุณเสน่ห์ ผลประสิทธิ์ ที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้เพื่อไปขอซื้อลูกพันธุ์ดังกล่าวมาปล่อยเลี้ยงเสริมไว้ในบ่อ

"บ่อดินของผมมันลึก และคิดว่าปลาบึกน่าจะเข้ามาอยู่อาศัยได้ดี จึงโทรศัพท์ไปขอซื้อพันธุ์ปลาบึกจากคุณเสน่ห์ โดยช่วงแรกทดลองเลี้ยงเพียง 300 ตัว ก่อน เพื่อศึกษาอัตราการเติบโต หากพบว่าโตดี เราก็จะขยายพื้นที่เลี้ยงไปอีก ซึ่งจากการทดลองเพียง 4-5 เดือน ก็ได้น้ำหนักตัวสูงขึ้น 2-3 กิโลกรัมแล้ว ทั้งๆ ที่เราให้อาหารกินค่อนข้างน้อย ผมเข้าใจส่วนหนึ่งอาจมาจากสายพันธุ์ปลาบึกก็ได้ เพราะว่าคุณเสน่ห์ ผลประสิทธิ์ ได้ศึกษาการเพาะพันธุ์ปลาบึกมานาน และสะสมสายพันธุ์ดีๆ ไว้เยอะทีเดียว"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

พร้อมกับเล่าว่า ในช่วงนำลูกปลาบึกมาเลี้ยงระยะแรกๆ นั้น เราจะทำกระชังไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อกักพื้นที่เลี้ยงปลา และสะดวกกับการให้อาหารด้วย

กระชังที่ใช้อนุบาลลูกปลาช่วงแรกนั้น ทำด้วยมุ้งเขียว มีความกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร ลึก 2 เมตร

"ไม่ใช่ซื้อลูกปลาบึกมาแล้ว ก็ปล่อยเลี้ยงในบ่อดินได้เลย เราต้องเลี้ยงในกระชังสัก 1 เดือน เพื่อให้ปลาแข็งแรงก่อน จากนั้นก็ปล่อยเลี้ยงพื้นที่กว้าง ปลาจะหาอาหารจากธรรมชาติกิน ตกเย็นเราโยนอาหารเสริมลงไปอีก โดยจะให้บริเวณพื้นที่กระชังเดิม ซึ่งปลาบึกพวกนี้เมื่อถึงเวลาหรือตอนเย็นๆ ก็มาคอยอาหารเสริมแล้ว"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

คุณเกียรติภูมิบอกว่า เท่าที่สังเกตเห็นพบว่า ปลาบึกที่เลี้ยงไว้นี้สามารถปรับตัวเข้าสภาพแวดล้อมในบ่อได้ดีทีเดียว เพราะว่าซื้อมาจำนวน 300 ตัว ไม่มีการสูญเสียหรือตายให้เห็นสักตัวเลย

"ผมซื้อลูกปลา ขนาด 7-8 นิ้ว ใส่ถุงอัดออกซิเจน จากนั้นนำใส่ท้ายรถ ออกเดินทางช่วงเย็น โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็มาถึงที่สวนแล้ว นำถุงปลามาแช่น้ำไว้ในกระชังสัก 20 นาที เพื่อให้สภาพน้ำในถุงและบ่อมีอุณหภูมิเท่าๆ กัน หลังจากนั้น ก็ค่อยๆ เปิดปากถุงปลาให้น้ำในบ่อไหลเข้า ลูกปลาก็ว่ายน้ำออกสู่กระชัง เราจะปล่อยให้ปลาพักผ่อนอย่างเต็มที่"

"ทิ้งไว้ประมาณ 20 ชั่วโมง หรือตกเย็นอีกวันหนึ่ง ก็เริ่มหว่านอาหารให้กิน โดยช่วงแรกๆ จะหว่านอาหารเม็ดสำเร็จรูปของปลาดุก หลังจากนั้นอีกสัก 7-8 วัน ก็จะทำอาหารให้กินเอง โดยใช้วัตถุดิบปลาป่น กากถั่วเหลือง รำละเอียด ปลายข้าว น้ำมันตับปลา วิตามิน และแร่ธาตุ ผสมกัน และบดให้ละเอียด ปั้นเป็นก้อนๆ โยนให้กินวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

เมื่อปลาเริ่มแข็งแรง ก็จะกินอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ จากวันละ 4-5 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัม คุณเกียรติภูมิอนุบาลลูกปลาในกระชัง ประมาณ 1 เดือน ก็เก็บกระชังขึ้น เพื่อให้ปลาว่ายน้ำไปหาอาหารกินตามธรรมชาติ ซึ่งมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่ปล่อยให้มีวัชพืชขึ้น

อย่างไรก็ตาม ช่วงเย็นๆ ทุกวัน คุณเกียรติภูมิจะสั่งให้ลูกน้องโยนอาหารเสริมให้ปลากินด้วย โดยให้ประมาณ 10 กิโลกรัม ต่อวัน

"ปลาบึก ที่เลี้ยงไว้มันเจริญเติบโตเร็วมาก เหตุผลที่ผมรู้ก็เพราะว่าได้วางอวนตรวจ เดือนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมีปลาบึกติดอวนรวมกับปลาอื่นๆ ด้วย ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาสวาย ผมจับขึ้นมากินและขาย ส่วนปลาบึกผมจะปล่อยกลับไป เพื่อให้มันเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอีก คาดว่าเลี้ยงต่อไปอีกสัก 2-3 ปี ปลาแต่ละตัวน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 30-40 กิโลกรัม อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นค่อยทยอยจับขายส่งตามร้านอาหาร โดยเฉพาะแถวๆ จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวเยอะ ซึ่งมักนิยมกินอาหารที่ทำจากปลาบึกแท้ๆ เหมือนกัน"คุณเกียรติภูมิ กล่าว

ไม่แน่งานอดิเรกที่คุณเกียรติภูมิและคุณกรกมลสองสามีภรรยาคู่นี้ที่บรรจงสร้างขึ้นมาด้วยใจรัก ในอนาคตอาจเป็นอาชีพหลักก็ได้

"พูดกันจริงๆ ตอนนี้ผมเริ่มเบื่อกับงานหลักที่ทำอยู่ แต่ยังทิ้งไม่ได้ เพราะว่าเรามีลูกน้องที่ต้องเลี้ยงดูอยู่อีกหลายคน รวมทั้งลูกชาย 2 คน ด้วย ที่กำลังเข้าสู่วัยเรียน ดังนั้น ต้องทำต่อไป"

"ผมมาอยู่ที่สวนนี้ มีความสุขมาก มีต้นไม้ สายน้ำ ปลา และนกนานาชนิด อยู่รวมกันอย่างสมดุล ครอบครัวผม พ่อ แม่ ลูก มาทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ ให้อาหารปลากัน ทำให้พวกเรามีความรู้สึกรักและชอบอาชีพนี้กันมาก ในอนาคตผมคิดว่าคงยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แม้ว่าให้ผลตอบแทนไม่ดี แต่ทำให้จิตใจเรามีความสุขครับ"คุณเกียรติภูมิ กล่าวทิ้งท้าย



วิธีแก้ไข :
 
ที่อยู่
 
หมู่บ้าน :
ตำบล / แขวง :
อำเภอ / เขต :
จังหวัด :
ลำพูน
รหัสไปรษณีย์ :
ภาค :
ภาคเหนือ
แหล่งข้อมูล
 
แหล่งที่มา :
เทคโนโลยีชาวบ้าน : วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 20 ฉบับที่ 419
 

ย้อนกลับ


   
วัตถุประสงค์โครงการ
   
จำแนกปัญหาตามภูมิภาค
จำแนกปัญหาตามจังหวัด
จำแนกปัญหาตามประเภท
สืบค้นตามชื่อเรื่องแบบใช้คีย์เวิร์ด
สรุปภาพรวมของปัญหา
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่ภูมิภาค
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่จังหวัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สารสนเทศเกษตร
เกษตรพลิกฟื้นชาติ
สารพันความรู้
กรมส่งเริมการเกษตร
ห้องสมุดกรมวิชาการเกษตร
เทคโนโลยีชาวบ้าน
หนังสือพิมพ์มติชน
ติดต่อ E-mail : คลิกที่นี่
 
 

สถิติจาก truehit.net

   


Download Acrobat Reader

Best view with IE 5.0 or later version at 800x600
All comments please mail to
Webmaster

This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร 0 2201 7256 แฟกซ์ 0 2201 7265
Email : info@dss.go.th
ปรับปรุง : Tuesday, May 2, 2017 11:07 PM