คุณ จรินทร์ บุญปัญญารักษ์ อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 8 บ้านเตาถ่าน ตำบลบึงกระจับ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 67130 โทร. (086) 637-3333, (080) 651-9606 เจ้าของสวนอินทผลัม “สวนภูผาลัม” ประสบ ความสำเร็จในการปลูกอินทผลัมทั้งชนิดกินผลสดและกินผลแห้ง โดยผลผลิตมีคุณภาพเทียบเท่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ผลสดมีรสชาติหวานกรอบ รสชาติอร่อย ผลแห้งมีรสชาติหวานอร่อย
ทางสวนภูผาลัม มีสายพันธุ์อินทผลัมที่เป็นสายพันธุ์แท้ของตะวันออกกลาง โดยได้สั่งอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาจากบริษัท Al WathbaMarionnet LLC ประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้แก่ราชวงศ์ และประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางและทั่วโลก รวมทั้งมีสายพันธุ์อินทผลัมที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นเอง ซึ่งสามารถให้ผลผลิตตั้งแต่ต้นที่มีขนาดเล็ก อายุเพียง 2-3 ปี เท่านั้น
“อินทผลัม” เป็น ไม้ผลเมืองร้อนที่ปลูกกันมากในประเทศแถบตะวันออกกลางที่มีสภาพภูมิอากาศแบบ ทะเลทรายซึ่งมีสภาพอากาศร้อนและแทบไม่มีฝนตก อินทผลัมจึงมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ทำให้คนไทยส่วนมากเข้าใจว่าอินทผลัมเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว อินทผลัมเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก โดยมีความต้องการน้ำถึงปีละ 2,000-2,500 มิลลิเมตร (ประเทศไทยมีฝนตกปีละ 1,000-1,600 มิลลิเมตร) ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการอินทผลัมที่มีคุณภาพ จะต้องมีการดูแลรักษาที่ดี และต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงหน้าแล้งด้วย
อินทผลัม เป็นพืชที่ไม่สมบูรณ์เพศ โดยมีดอกตัวเมียและดอกตัวผู้แยกอยู่กันคนละต้น ดังนั้น ในการปลูกเพื่อมีการติดผลที่ดี จึงจำเป็นต้องปลูกทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมียไว้ในสวนเดียวกัน เฉพาะต้นตัวเมียเท่านั้นที่ให้ผลอินทผลัม แต่ต้องมีเกสรจากต้นตัวผู้มาผสมด้วย ดังนั้น เราจึงต้องปลูกอินทผลัมทั้งตัวผู้และตัวเมีย โดยหากเรามีต้นอินทผลัมตัวผู้สายพันธุ์ที่ดีปลูก จะมีสัดส่วนในการปลูกต้นตัวผู้ 1 ต้น ต่อต้นตัวเมีย 40-50 ต้น
การขยายพันธุ์อินทผลัมสามารถทำได้ 3 วิธี คือ เพาะจากเมล็ด แยกหน่อจากต้นแม่ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การ ขยายพันธุ์จากเมล็ดจะมีข้อดีคือ ขยายพันธุ์ปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว โดยมีต้นทุนในระยะแรกต่ำกว่าวิธีอื่น แต่เนื่องจากอินทผลัมเป็นพืชที่ไม่สมบูรณ์เพศ
การ ขยายพันธุ์โดยเมล็ด โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละครึ่ง และเราจะไม่สามารถทราบเพศของต้นอินทผลัมจากการเพาะเมล็ด ต้องปลูกไว้และรอจนกว่าอินทผลัมจะออกดอกก่อนจึงจะทราบเพศ และถึงแม้ว่าเราจะได้ต้นตัวเมียไปปลูก แต่คุณภาพผลอินทผลัมก็จะไม่เหมือนกับต้นแม่ เนื่องจากผลอินทผลัมเป็นผลที่ได้จากการผสมเกสรข้ามต้น จึงถือว่าเมล็ดที่ได้เป็นพันธุ์ลูกผสม ไม่ใช่พันธุ์แท้ ซึ่งไม่สามารถเรียกชื่อเดียวกับต้นแม่ได้ เราจึงสามารถตั้งชื่อพันธุ์อินทผลัมที่เพาะจากเมล็ดได้เอง
ทั้ง นี้ คุณภาพของผลอินทผลัม ทั้งในเรื่องของขนาดหรือรสชาติอาจจะแย่ลง หรือใกล้เคียงต้นแม่พันธุ์เดิม หรือดีขึ้นก็ได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยมากที่คุณภาพจะดีขึ้น ดังนั้น การปลูกด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจทดลองปลูกที่มีเงินลงทุนไม่มากนัก ก็สามารถที่จะซื้อผลอินทผลัมมาจากตลาดทั่วไปทั้งแบบกินผลสดและผลแห้ง เมล็ดที่ได้หลังจากการบริโภคแล้ว สามารถนำไปเพาะเป็นต้นกล้าเพื่อเพาะปลูกได้ แต่ต้องมีการบริหารจัดการแปลงปลูกที่ดี และอาจจะต้องมีการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อหาสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีนำไปขยาย พันธุ์ต่อไป
สำหรับ ต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดควรจะเพาะเลี้ยงไว้ในถุงดำจนกว่าจะออกใบขนนก ประมาณ 3-4 ใบ ขึ้นไป หรือต้นกล้ามีอายุประมาณ 1 ปี เพื่อให้มีโอกาสรอดเกือบ 100% เมื่อปลูกลงแปลงปลูก
วิธี ที่ 2 คือ การขยายพันธุ์โดยแยกหน่ออินทผลัมจากต้นแม่ วิธีนี้เป็นการขยายพันธุ์ที่เราจะได้พันธุ์แท้ ต้นกล้าที่ได้จะมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่ทุกประการ แต่ต้นแม่พันธุ์จะมีความสามารถในการให้หน่อได้เพียงเฉลี่ยประมาณ 20 หน่อ ต่อต้น ตลอดอายุ (จำนวนหน่ออินทผลัมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) เราจึงไม่สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ในปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็วได้ ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีการจำหน่ายหน่อพันธุ์อินทผลัมในเชิงพาณิชย์ และหากจะสั่งหน่อพันธุ์มาจากต่างประเทศจะมีราคาสูงมาก โดยราคาหน่อพันธุ์จะมีราคาสูงกว่าต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ทำให้หากสั่งซื้อหน่อต้นพันธุ์มาปลูกแล้ว การลงทุนด้วยวิธีนี้ในระยะแรกจะสูงที่สุด วิธีนี้จึงเหมาะกับสวนที่มีต้นเมล็ดพันธุ์อินทผลัมที่ดีอยู่แล้ว และต้องการขยายการเพาะปลูกอินทผลัมออกไป
จาก ปัญหาของการขยายพันธุ์ 2 วิธีข้างต้น ในต่างประเทศจึงขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขึ้นมา การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้คือการโคลนนิ่ง ต้นกล้าที่ได้จึงเป็นพันธุ์แท้ โดยจะมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าการปลูกด้วยเมล็ด ปัจจุบันการปลูกในเชิงพาณิชย์ของต่างประเทศจะนิยมวิธีนี้ เนื่องจากสามารถบริหารจัดการแปลงปลูกได้ดีกว่า ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดีและสม่ำเสมอ และให้ผลผลิตได้เร็ว สามารถปลูกได้ปริมาณมากตามต้องการและทุกฤดูกาล ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ในระยะเวลาสั้น.....