เวลาประมาณ 2 ปีต่อมา ยอดชมพู่พันธุ์ไต้หวันเจริญเติบโตดีเรื่อยมา และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นมา ทางผู้เขียนเห็นว่าต้นชมพู่ไต้หวันแตกทรงพุ่มใหญ่ ควรจะใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อบังคับให้ต้นชมพู่ออกดอกติดผลนอกฤดู โดยใช้สารแพคโคลบิวทราโซล ในการบังคับให้ต้นชมพู่ออกนอกฤดูนั้น ผลปรากฏว่า ต้นชมพู่ได้ออกดอกมาเพียง 1-2 ช่อ เท่านั้น
ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นมาก ได้พยายามบำรุงรักษาเป็นอย่างดีเพื่อดูว่าผลชมพู่จะมีขนาดใหญ่จริงหรือไม่ ในขณะที่ต้นชมพู่เลี้ยงผลอยู่เพียง 1-2 ช่อนั้น พอเข้าเดือนมีนาคม 2555 ผลปรากฏว่าต้นชมพู่ไต้หวันที่เสียบไว้ทยอยออกดอกทั้งต้น หลังจากที่ห่อผลชมพู่ไต้หวันไปได้ประมาณ 25-30 วัน (โดยเริ่มห่อในระยะที่ผลชมพู่ถอดหมวกหรือผลใหญ่ขนาดนิ้วโป้ง) พบว่า ผลชมพู่ไต้หวันที่เก็บเกี่ยวมานั้นมีขนาดของผลใหญ่กว่าชมพู่สายพันธุ์อื่นๆ ที่ผู้เขียนเคยพบมา โดยมีคุณสมบัติของผลดังนี้
“ผลมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักผล ประมาณ 200 กรัม หรือ 5 ผล ต่อกิโลกรัม ผิวผลมีสีขาวอมชมพูหรือสีชมพูอมแดง เมื่อแก่จัดมีสีชมพูเข้ม ลักษณะของผลเป็นรูประฆังคว่ำใหญ่ มีความกว้างของผลเฉลี่ย 7 เซนติเมตร และความยาวของผลเฉลี่ย 9-10 เซนติเมตร เนื้อหนามากและเป็นชมพู่ไร้เมล็ด รสชาติหวานกรอบ มีความหวาน ประมาณ 13-14 องศาบริกซ์ ถ้าผลผลิตแก่และเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้งจะมีความหวานสูงกว่านี้ จัดเป็นชมพู่สายพันธุ์หนึ่งที่ออกดอกและติดผลดกมาก”
ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรจึงได้ตั้งชื่อชมพู่ไต้หวันสายพันธุ์นี้ว่า “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” ผู้ เขียนมีความเชื่อที่ว่า ชมพู่ยักษ์ไต้หวันนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกชมพู่ในประเทศไทย เพราะมีความโดดเด่นในเรื่องขนาดผลและความอร่อยไม่แพ้ชมพู่พันธุ์การค้าสาย พันธุ์อื่น มาถึงปี 2557 ต้นชมพู่ยักษ์ต้นนี้ได้ออกดอกและติดผลเต็มต้น ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2557 เรื่อยมาจนถึงเดือนเมษายน 2557 ก็ยังออกดอกและติดผลอยู่ ให้ผลผลิตมีน้ำหนักผลเฉลี่ยอย่างน้อยที่สุด 200 กรัม ต่อผล ผลใหญ่สุด หนักถึง 350 กรัม ยิ่งได้อากาศหนาว สีผลยิ่งสวย และรสชาติหวานอร่อยมาก
ระหว่าง วันที่ 11-15 กรกฎาคม 2555 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานการเกษตรที่ไต้หวันอีกครั้งหนึ่งโดยมีเป้าหมาย หลักเพื่อเข้าชมงานเทศกาลมะม่วงประจำปีของไต้หวันและดูงานการเกษตรอื่นๆ ด้วย การดูงานในครั้งนี้ได้มีโอกาสเข้าชมสวนชมพู่ของเกษตรกรรายหนึ่งที่ ตำบลหยวนซาน (Yuanshan) เมืองยี่หลาน (Yilan) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน และจัดเป็นสวนชมพู่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเกาะไต้หวัน และปลูกชมพู่มานาน ประมาณ 30 ปี
อาจารย์ประทีป กุณาศล ผู้เชี่ยวชาญไม้ผลท่านหนึ่งของเมืองไทย เคยคุยกับผู้เขียนว่า ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชมพู่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านพัฒนาสายพันธุ์, การจัดการสวนและการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต
เมื่อผู้เขียนได้เข้าไปดูในแปลงปลูกชมพู่ของเกษตรกรไต้หวันรายหนึ่งเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2555 จะต้องยอมรับว่าเป็นแปลงปลูกชมพู่ที่มีการจัดการสวนที่ดีมาก หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าต้นชมพู่ของสวนแห่งนี้ มีอายุต้นได้ 28 ปี เส้นผ่าศูนย์กลางของต้นเฉลี่ย 10-12 นิ้ว มีการควบคุมทรงพุ่มให้ความสูงของต้นเฉลี่ย 3-4 เมตร เท่านั้น
ทางด้านสายพันธุ์ที่ปลูก เจ้าของสวนบอกว่า นำพันธุ์มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ได้ระบุประเทศ แต่คาดว่าน่าจะนำพันธุ์มาจากประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย (สำหรับพันธุ์ทับทิมจันท์ของไทยมีเกษตรกรนำไปปลูกที่ไต้หวัน ประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา แต่พื้นที่ปลูกไม่มากนัก)
เนื่องจากพันธุ์ชมพู่ที่ผลิตขายส่งในไต้หวันในปัจจุบันนี้จะมีขนาดผลใหญ่ ลักษณะผลเป็นทรงระฆังและผลมีสีชมพูอมแดง เท่าที่ได้ชิมนับได้ว่าอร่อยมาก นอก จากพันธุ์ชมพู่ที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่สวนชมพู่แห่งนี้ยังมีชมพู่อีกสายพันธุ์หนึ่งที่เจ้าของสวนอ้างว่าได้สาย พันธุ์มาจากประเทศโปรตุเกส และเป็นพันธุ์ที่เจ้าของหวงมากและยังไม่มีผลผลิตวางขายในไต้หวัน
เจ้าของสวนได้ชมพู่พันธุ์นี้มาปลูกประมาณ 3 ปี และกำลังขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติม โดยปลูกแซมในแปลงชมพู่เดิม เนื่อง จากเป็นพันธุ์ชมพู่ที่มีลักษณะเด่นหลายประการ นอกจากผลจะมีขนาดใหญ่แล้ว ผลจะมีสีแดงสดคล้ายกับชมพู่ทับทิมจันท์ แตกต่างกับพันธุ์ทับทิมจันท์ตรงที่ทรงผลของชมพู่พันธุ์โปรตุเกส ลักษณะผลทรงระฆังใหญ่ รสชาติหวานกรอบ เนื้อแข็ง อร่อยมาก เจ้าของสวนจะเรียกชมพู่พันธุ์นี้ว่า “ชมพู่สตรอเบอรี่” แต่จะเปรียบเทียบลักษณะใบคล้ายกับใบของชมพู่ม่าเหมี่ยว
เจ้าของสวนคาดว่าชมพู่พันธุ์โปรตุเกสนี้จะได้รับความสนใจในตลาดไต้หวันมากใน อนาคต เนื่องจากเป็นชมพู่ที่มีเนื้อละเอียด เวลากัดจะไม่รู้สึกปวดฟัน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและวัยรุ่นที่ชอบชมพู่ที่มีสีสันสวยงาม
แต่ สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ระบบการจัดจำหน่ายชมพู่ของสวนแห่งนี้มีการขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และชมพู่ทุกเกรดมีตลาดรองรับทั้งหมด
นอก จากนั้น จากการเดินสำรวจและสอบถามข้อมูลจากเจ้าของสวนทำให้ทราบถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับการปลูกชมพู่ในประเทศไทยได้
ทางแผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร โทร. (081) 886-7398 ได้ยอดพันธุ์ชมพู่สตรอเบอรี่มาเสียบยอดกับต้นชมพู่ทับทิมจันท์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 ต้นชมพู่สตรอเบอรี่ใหญ่เต็มที่ เริ่มออกดอกและติดผลพบว่า ให้ผลผลิตดกมาก มีลักษณะติดผลเป็นพวงและผลร่วงน้อยกว่าชมพู่พันธุ์อื่นๆ เมื่อผลชมพู่แก่สีของผลมีสีแดงเลือดนก โดดเด่นมาก มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 200 กรัม และรสชาติหวานกรอบ อร่อยมาก
ที่สำคัญเมื่อปล่อยชมพู่ให้แก่จัดบนต้นพบว่า เน่าเสียได้ยากกว่าชมพู่ทุกพันธุ์ที่ปลูกในบ้านเรา สรุป ได้ว่าเป็นพันธุ์ชมพู่ที่ทนต่อการขนส่ง ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่จะมีความแตกต่างจากชมพู่การค้าพันธุ์อื่นๆ ตรงที่ลักษณะของใบจะใหญ่มาก
ปัจจุบันชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรมีปลูกอยู่รายเดียวเท่านั้นในประเทศ ไทย ผู้เขียนคาดว่าชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกชมพู่ ในอนาคตของชาวสวนผลไม้ไทย ด้วยรสชาติและสีผลที่สวยงามสะดุดตา สนใจกิ่งพันธุ์ติดต่อได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัดพิจิตร โทร. (081) 886- 7398
การตัดแต่งกิ่งชมพู่ในไต้หวัน
ความจริงแล้วการตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มของต้นชมพู่ไม่ให้สูงเกินไป ได้มีเกษตรกรไทยบางรายได้นำมาปฏิบัติแล้วต่างก็ยอมรับว่าได้ผลดี สะดวกต่อการจัดการ โดยเฉพาะในการห่อผลและการเก็บเกี่ยว
ช่วง ของการตัดแต่งกิ่งชมพู่ในไต้หวันจะมีการตัดแต่งช่วงระหว่างเดือน กันยายน-เดือนตุลาคม จะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม และผลผลิตจะแก่เก็บขายได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม
ในการตัดแต่งต้นชมพู่ทุกปีจะต้องควบคุมความสูงไม่ให้เกิน 4 เมตร แต่ถ้าจะให้ดีควรจะควบคุมให้สูง ประมาณ 3 เมตร วิธีการตัด จะไม่ตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก (Heavy Pruning) แตกต่างจากการตัดแต่งกิ่งมะม่วง การตัดแต่งกิ่งควรจะตัดกิ่งที่อยู่ใต้ใบ หรือยอดที่แตกข้างใบล่าง
โดยย้ำว่าไม่ควรตัดแต่งกิ่งแล้ว บริเวณที่ตัดนั้นโดนแสงแดด จะทำให้กิ่งใหม่ที่แตกออกมาเป็น 3-4 ยอด จะทำให้จัดการได้ยากมาก รวมถึงควบคุมการออกดอกและติดผลได้ยาก ดังนั้น จะต้องตัดกิ่งที่มีใบบังอยู่
ระยะปลูกชมพู่ไต้หวัน และการให้ปุ๋ย
เกษตรกรไต้หวันที่ผู้เขียนได้เข้าไปดูงานในครั้งนี้ มีพื้นที่ปลูกชมพู่ ประมาณ 10 ไร่เศษ และปลูกพันธุ์ที่นำมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไม่มีการระบุว่าชื่อพันธุ์อะไร) โดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 6 เมตร
เจ้า ของสวนได้แนะนำคุณสมบัติที่สำคัญของเกษตรกรที่จะปลูกชมพู่ให้ประสบความ สำเร็จจะต้องเป็นคนช่างสังเกต เมื่อต้นชมพู่มีปัญหาว่าจะขาดปุ๋ยหรือต้นไม่สมบูรณ์ จะแสดงอาการให้เห็นที่ใบก่อน เช่น ใบซีดและไม่สดชื่น เกษตรกรจะต้องดูแลโคนต้นชมพู่ให้สะอาด และจะต้องมีความรู้ว่ารากฝอยที่มีหน้าที่ดูดน้ำและปุ๋ย รากฝอยของต้นชมพู่จะอยู่ห่างจากทรงพุ่มประมาณ 1 ศอก หรือประมาณ 0.5 เมตร
ดังนั้น ในการให้ปุ๋ยแต่ละครั้งจะต้องใส่ห่างจากทรงพุ่ม ประมาณ 0.5 เมตร สำหรับปุ๋ยที่ให้กับต้นชมพู่ในช่วงออกดอก นอกจากจะเน้นธาตุฟอสฟอรัส (P) แล้ว แร่ธาตุปลีกย่อยจะใช้ธาตุแมกนีเซียม (Mg) และแคลเซียม (Ca) เป็นหลัก
ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีการฉีดพ่นโพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) เพื่อเพิ่มความหวาน ซึ่งสอดคล้องกับการปรับปรุงคุณภาพของชมพู่ในประเทศไทย ก่อน อื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระยะเลี้ยงผลของชมพู่นั้นสั้นมาก หลังจากระยะถอดหมวกคือ ติดผลเท่ากับนิ้วก้อยจนแก่และเก็บเกี่ยวได้ จะใช้เวลาประมาณ 30-40 วัน เท่านั้น ดังนั้น ระยะที่ผลใกล้แก่ก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน จะต้องมีการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ไฮโปส เพื่อเพิ่มความหวานให้กับชมพู่
ผลผลิต และการค้าขายชมพู่ไต้หวัน
เจ้าของสวนชมพู่ไต้หวันได้ให้รายละเอียดของการติดผลของชมพู่ โดยยกตัวอย่างต้นชมพู่ที่มีอายุ 10 ปี จะปล่อยให้ติดผลไม่เกิน 100 ช่อ ต่อต้น โดยแต่ละช่อจะได้น้ำหนักเฉลี่ย 1 ชั่ง (1 ชั่ง = 600 กรัม)
ดังนั้น ต้นชมพู่ที่มีอายุต้น 10 ปี จะให้ผลผลิตเฉลี่ย 600 ชั่ง ต่อต้น หรือประมาณ 360 กิโลกรัม ต่อต้น แต่ถ้าต้นชมพู่มีอายุต้น 28 ปี จะให้ผลผลิตได้ถึง 500 กิโลกรัม ต่อต้น นับเป็นผลไม้ที่ให้ผลผลิตดกมาก…
จากการที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่าต้นชมพู่จะสะสมอาหารที่ใบ ดังนั้น ผลผลิตบนต้นจะต้องสัมพันธ์กับใบ โดยเจ้าของสวนบอกว่า ในการเลี้ยงผล 1 ช่อ จะต้องมีใบชมพู่อย่างน้อย 25 ใบ
จากการสอบถามจากเจ้าของสวนถึงเรื่องการจัดจำหน่ายชมพู่ทราบว่า ที่สวนแห่งนี้จะแบ่งเกรดชมพู่เป็น 5 เกรด คือ เกรดเอ ราคา 150 บาท ต่อชั่ง, เกรดบี ราคา 100 บาท, เกรดซี ราคา 60 บาท, เกรดดี ราคา 50 บาท และ เกรดอี ราคา 30 บาท
จาก การที่ผู้เขียนได้ไปดูงานในครั้งนั้น โชคดีที่เป็นช่วงที่สวนแห่งนี้กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและคัดเกรดส่งตลาดพอดี เกรดที่ดีที่สุดจะขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต เกรดรองลงมาบรรจุลงกล่องส่งตลาดเมืองใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจและชาวสวนผลไม้ไทยควรนำมาเป็นแบบอย่างก็คือ ผลผลิตชมพู่ของสวนแห่งนี้ขายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลแตกหรือมีตำหนิ โดยส่งไปขายตลาดกลางคืน (Night Market)