เห็ดโคน (Termitomyces fuliginosus) เห็ดโคน เมืองกาญจนบุรี จัดอยู่ในประเภทนี้ เกิดจากปลวกนำสปอร์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายเมล็ดพืช แต่มีขนาดเล็กมากของเห็ดชนิดนี้ไปปลูกในรัง เพื่อเป็นอาหารให้ลูกอ่อน แล้วสปอร์ส่วนเกินที่
กินไม่หมด หรือหลงหูหลงตาเจ้าปลวกไป เมื่อได้รับความชื้นอย่างพอเพียง มันเจริญเติบโตโผล่ขึ้นมาเหนือผิวดิน จึงเรียกกันว่า เห็ดปลวก หรือ เห็ดโคน สรุปได้ว่า เห็ดโคน นั้น ต้องมีปลวกเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรชีวิตของมัน แต่สำหรับ
เห็ดโคนน้อย หรือ เห็ดถั่ว (Copinus comatus) ในวงจรชีวิตของเห็ดชนิดนี้ จะไม่มีปลวกเข้ามาเกี่ยวข้อง บังเอิญที่มีรสชาติใกล้เคียงกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า จึงเรียกว่า เห็ดโคนน้อย เดิมทีนั้นเรียกว่า เห็ดถั่ว เพราะว่าพบขึ้นอยู่ตามกองเศษ
ซากถั่วเหลือง ถั่วลิสง หรือ ถั่วเขียว ก็ตามวิธีเพาะเลี้ยง หรือบางคนเรียกว่า ปลูก มีความแตกต่างจากเห็ดอื่นๆ เริ่มจาก
การเตรียมวัสดุปลูก เลือกใช้ฟางข้าวแห้ง ต้นข้าวโพด หรือต้นข้าวฟ่าง ตัดให้สั้นลง ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร มัดเป็นฟ่อน อัดลงในแบบพอแน่น ขนาด กว้างและสูง 30 เซนติเมตร เท่ากัน ส่วนความยาว 50 เซนติเมตร ต้มอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของปุ๋ยยูเรีย 2 กิโลกรัม ส่าเหล้า 1 กิโลกรัม กากนํ้าตาล 1 ลิตร ปูนขาว 1 กิโลกรัม และ ดีเกลือ 0.1 กิโลกรัม ต้มในนํ้าสะอาด 100 ลิตร ให้ร้อนที่
อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นำไปราดลงบนวัสดุปลูกขณะนํ้ายังร้อนอยู่ ให้ชุ่มอย่างทั่วถึง ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นลง โรยเชื้อเห็ดบริสุทธิ์บนกองวัสดุเพาะ กระจายให้ทั่ว หากฝังลงในวัสดุเพาะได้ยิ่งดี อัตราเชื้อเห็ด 1 ขวด ต่อ 3 กองวัสดุเพาะ
แล้วคลุมด้วยพลาสติกใส ในกรณีที่มีหลายกอง ให้ทำโครงแบบอุโมงค์โค้ง สูงเหนือพื้นดิน 30-40 เซนติเมตร ปิดทับด้วยซาแรน หรือทางมะพร้าว ป้องกันแสงแดดแผดเผา บ่มไว้ 5-6 วัน เส้นใยจะเดินเต็ม และเริ่มให้ดอก เก็บเกี่ยวได้ต่อ
เนื่องถึง 20 วัน ระหว่างให้ผลผลิต ต้องรักษาความชื้นสัมพัทธ์ภายในอุโมงค์ไว้ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ ด้วยวิธีรดนํ้าระหว่างกองวัสดุเพาะภายในอุโมงค์ และราดนํ้า รอบๆ อุโมงค์ไปในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เห็ดโคนน้อย ยังมีข้อด้อยอยู่
ประการหนึ่งคือ เมื่อเก็บดอกแล้ว ต้องทำให้ช็อก ด้วยการต้ม หรือลวกนํ้าร้อนพร้อมเติมกรดนํ้าส้มลงไปเล็กน้อย เป็นเวลา 3-5 นาที มิเช่นนั้นเห็ดจะย่อยสลายตัวมันเองจนเละหมดสภาพไป ส่วนประโยชน์ของเห็ดหลินจือ มีผลงานวิจัยของญี่ปุ่น ระบุว่า เห็ดหลินจือ ช่วยลดความดันโลหิต ลดนํ้าตาลในเลือด และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตาม อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ