เข้าสู่เว็บสำนักหอสมุดฯ


รายละเอียดข้อมูล
เรื่อง :
“พริกหนุ่มเขียวหยกสยาม” พริกสายพันธุ์ไทย ตอบโจทย์ตลาดเขตร้อนทั่วโลก
   
ปัญหา :
 
 
 พริกหนุ่มเขียว เป็นผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกกันมากในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งตลาดมีความต้องการ เนื่องจากเป็นพริกที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นน้ำพริกหนุ่ม ของฝากขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างมหาศาล
     แต่ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตพริกได้มากขึ้น คือ
การพัฒนาสายพันธุ์ให้เจริญเติบโตได้ดี ทนทานต่อโรค ดูแลรักษาง่าย
ตลอดจนปรับตัวได้ดีในทุกสภาพอากาศและภูมิประเทศ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี
เป็นที่ต้องการของตลาด อย่างเช่น “พริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยาม”
ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จากผู้เชี่ยวชาญของสถานีวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช เจียไต๋ ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ นับว่าเป็นสายพันธุ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดและเกษตรกร
ปัจจุบันสายพันธุ์พริกที่เจียไต๋ได้พัฒนามากกว่า 30 สายพันธุ์ แต่
“พริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยาม”ถือว่าเป็นพันธุ์พริกที่ตอบสนองความต้องการ
ของเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือได้ดีที่สุดในขณะนี้
เป็นพริกที่เก็บเกี่ยวครั้งเดียวได้ผลผลิตที่มากกว่าเดิม
สามารถต้านทานโรคได้ดีเยี่ยม รูปทรงตรง มีสีสันสวยงาม ผลแน่นตึง ทนทานต่อการขนส่ง และวิธีการดูแลรักษาง่าย เมื่อเทียบกับพริกพันธุ์อื่นๆ
เป็นที่ต้องการของตลาดสูง   สำหรับการเก็บผลผลิตพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยาม แบ่งเป็น 3 ระยะคือ พริกเขียว พริกก้ามปู (พริกโหด) และพริกแดง โดยพริกก้ามปู ซึ่งมีลักษณะสีเขียวแกมแดง จะเป็นพริกที่เกษตรกรขายได้ราคาดีที่สุด เนื่องจากเป็นระยะที่พริกได้น้ำหนักมาตรฐาน   เทคนิคสำคัญของการปลูกพริกเพื่อให้ได้ผลผลิตดี ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ปุ๋ยเคมี ธาตุอาหารเสริม และอฮอร์โมน รวมถึงสารเคมีที่ช่วยป้องกันโรคและแมลง โดยการปลูกพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยามนั้นเริ่มต้นจะต้องทำการเพาะต้นกล้า
โดยให้เพาะในถาดหลุมประมาณ 25-30 วัน พอมันมีใบจริง 3-4 ใบ
ก็สามารถย้ายไปปลูกในแปลงปลูกได้ โดยแปลงปลูกจะต้องทำการไถพรวนเพื่อย่อยดินให้ร่วนซุยแล้วตากแดดไว้ประมาณ 10-15 วัน จากนั้นยกร่องปรับแปลงให้เสมอ แล้วทำการหว่านปุ๋ยอินทรีย์ลงในแปลงปลูกในอัตรา 1
ตัน/ไร่ จากนั้ก็สามารถนำต้นกล้าลงปลูกได้   ส่วนการดูแลรักษาพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยามนั้นควรทำการให้น้ำทางร่อง 4
วัน/ครั้ง แต่สำหรับเกษตรกรที่ใช้ระบบน้ำหยดก็ควรจะเปิดแบบวันเว้นวันจึงจะเหมาะสม สำหรับการปลูกพริกชนิดนี้ ส่วนโรคที่พบก็จะมีโรคผลเน่า โรคเชื้อรา โรคราแป้ง โรคราก โรคใบจุด ซึ่งก็ควรให้สารเคมีตามอาการ
แต่ปัจจุบันจะเกิดโรคเหล่านี้น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย
เพราะพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยามสามารถต้านทานโรคเหล่านี้ได้ดีกว่าพันธุ์ อื่นๆ   
     สำหรับการเก็บเกี่ยวพริกจะเริ่มเมื่อพริกมีอายุ 80-90 วันหลังหยอดเมล็ด
โดยราคาขายพริกเขียวตกกิโลกรัมละ 15 บาท พริกก้ามปู ราคากิโลกรัมละ 30-50 บาท และพริกแดงราคากิโลกรัมละ 16-17 บาท   จะว่าไปพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยามไม่ใช่เพียงแต่จะขายดีในเมืองไทยเท่า นั้น
แต่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดีด้วยการส่งไปขายยังต่างประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะมันเป็นที่ต้องการในหลายๆ ประเทศอย่าง มาเลเซีย สิงคโปรค์ และประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าผลิตออกมาแล้วจะไม่มีตลาดให้ส่งขาย แถมมันยังขายได้ราคาดีจนสามารถสร้างเศรษฐีเกษตรไปแล้วหลายราย เพราะฉะนั้นหากใครอยากจะมีรายได้ดีๆ กำไรงามๆ การปลูกพริกหนุ่มเขียวพันธุ์หยกสยามจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจนไม่อาจ ปฏิเสธได้เลยทีเดียว
วิธีแก้ไข :
 
ที่อยู่
 
หมู่บ้าน :
ตำบล / แขวง :
อำเภอ / เขต :
จังหวัด :
เชียงราย
รหัสไปรษณีย์ :
ภาค :
ภาคเหนือ
แหล่งข้อมูล
 
แหล่งที่มา :
หนังสือพิมพ์มติชน 8 ก.พ.59
 

ย้อนกลับ


   
วัตถุประสงค์โครงการ
   
จำแนกปัญหาตามภูมิภาค
จำแนกปัญหาตามจังหวัด
จำแนกปัญหาตามประเภท
สืบค้นตามชื่อเรื่องแบบใช้คีย์เวิร์ด
สรุปภาพรวมของปัญหา
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่ภูมิภาค
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่จังหวัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สารสนเทศเกษตร
เกษตรพลิกฟื้นชาติ
สารพันความรู้
กรมส่งเริมการเกษตร
ห้องสมุดกรมวิชาการเกษตร
เทคโนโลยีชาวบ้าน
หนังสือพิมพ์มติชน
ติดต่อ E-mail : คลิกที่นี่
 
 

สถิติจาก truehit.net

   


Download Acrobat Reader

Best view with IE 5.0 or later version at 800x600
All comments please mail to
Webmaster

This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร 0 2201 7256 แฟกซ์ 0 2201 7265
Email : info@dss.go.th
ปรับปรุง : Tuesday, May 2, 2017 11:07 PM