ปัจจุบัน “ปลาช่อน” เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากรสชาติอร่อย ก้างน้อย สามารถนำไปประกอบอาหารหลายอย่าง แต่นับวันปลาช่อนในแหล่งธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้กรมประมงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยเกษตร จัดโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาช่อนให้แก่เกษตรกรขึ้นมา โดยดึงหน่วยงานอื่นทำงานอย่างบูรณาการ ล่าสุดเริ่มแล้วในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร เกษตรกรที่ร่วมโครงการสามารถนำไปประกอบอาชีพแล้ว
นายสนธิพันธ์ ผาสุขดี ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยเกษตร จัดโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาช่อนให้เกษตรกรในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร โดยมีการจัดทีมนักวิจัยจากกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ลงพื้นที่นำความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไปถ่ายทอดให้ เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายซึ่งก็ถือว่าโครงการดังกล่าวได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี เกษตรกรส่วนใหญ่สามารถเพาะเลี้ยงปลาช่อนเป็นรายได้หลักในการหาเลี้ยงครอบ ครัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับโครงการนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาที่ดินที่ขุดบ่อเลี้ยงปลาให้แก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) มีการของบสร้างโรงเพาะฟักขนาดเล็กรวมทั้งยังของบในการสร้างบ่อเพาะไรแดง เพื่อที่จะนำมาเป็นอาหารในการอนุบาลปลา รวมถึงกรมทรัพยากรน้ำบาดาลที่มีการจัดสรรปริมาณน้ำให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอใน การใช้งาน ทำให้มีแนวโน้มในการขายรวมถึงการขยายผลผลิตให้เพิ่มมากขึ้นต่อไปได้
ส่วนกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดในฐานะหน่วยงานหลักของกรมประมงที่รับผิดชอบ ดูแลโครงการดังกล่าว มีการคัดเลือกทีมนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ให้เข้ามาช่วยในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการสาธิตวิธีการฉีดฮอร์โมนปลาช่อน การอนุบาลลูกปลาที่ถูกต้องรวมไปถึงเรื่องการบริหารจัดการคุณภาพน้ำและโรค ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสัตว์น้ำ
นอกจากนี้มีการแนะนำให้เกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรที่เลี้ยงปลาช่อนให้มีการ เลี้ยงปลาสลับชนิดพันธุ์กันเนื่องจากโรคสัตว์น้ำบางชนิดจะเกิดขึ้นกับปลา เกล็ด บางชนิดจะเกิดขึ้นกับปลาหนัง ดังนั้นจึงควรเลี้ยงสลับกันไปเพื่อเป็นการตัดวงจรโรคที่อาจจะเกิดขึ้น
ด้านนายวินัย จั่นทับทิม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัย บอกว่า การฝึกอบรมเกษตรกรในโครงการมีการแนะนำข้อมูลความรู้ถ่ายทอดให้เกษตรกรอย่าง ละเอียด โดยในการเลี้ยงปลานั้นจะแนะนำให้เกษตรกรเลี้ยงปลาช่อน 2 รุ่น รุ่นละ 4 เดือน หลังจากนั้นให้เลี้ยงปลาชนิดอื่น เช่น ปลานิล สลับกันไปมาเพื่อเป็นการตัดวงจรการเกิดโรคปลาช่อน อีกทั้งยังแนะนำให้เกษตรกรมีบ่อพักน้ำบำบัดด้วยพืชน้ำหมุนเวียน เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ได้ใหม่อีก ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรรุ่นที่ 1 ที่ผ่านการอบรม สามารถเพาะพันธุ์ปลาช่อนได้แล้วจำนวน 2 รุ่นและจำหน่ายลูกพันธุ์ให้กลุ่มสมาชิกราคาตัวละ 50 สตางค์ หรือขายให้เกษตรกรทั่วไปราคาตัวละ 1.50 บาท เกษตรกรนำไปเลี้ยงเพียง 4 เดือนจะได้เงินเป็นหลักแสนบาท
“ตอนนี้ท่าน ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมงมีนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในประเทศ ให้ประชาชนทุกระดับมีสัตว์น้ำไว้กินไว้ใช้ รวมถึงการสร้างอาชีพให้ประชาชนมีรายได้หาเลี้ยงครอบครัว โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับผลตอบรับเป็น อย่างดีจากเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรสามารถเพาะพันธุ์ลูกปลาได้เอง ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงต่ำลง นอกจากนี้กรมประมงได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการลดต้นทุนอาหาร ด้วยการของบประมาณสำหรับงานวิจัยสูตรอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นในการนำ มาผสมเป็นอาหาร อาทิ กากน้ำตาล หรือมันสำปะหลัง เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาช่อนต่อไปในอนาคต อีกด้วย” นายวินัย กล่าว
นับเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ สำหรับเกษตรกร ให้มีช่องทางในการสร้างอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้