เป็นที่ทราบกันดีว่า ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ ที่สร้างรายได้ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับครอบครัวชาวปักษ์ใต้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว และที่ผ่านมาก็มีหลายหน่วยงานได้เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางได้ปลูกพืชร่วม หรือพืชแซมยางพารา ไม่ว่าจะเป็นสับปะรด ผักเหมียง ไม้ดอกเมืองร้อนต่างๆ อาทิ เฮลิโคเนีย ดาหลา หรือไม้ดอกวงศ์ขิง ล้วนแต่ทำเงินให้กับพี่น้องชาวสวนยางแทบทั้งสิ้น วันนี้ผู้เขียนจะนำทุกท่านไปดูแนวทางการสร้างรายได้เสริมในสวนยาง ด้วยการปลูกหน้าวัวพันธุ์พื้นเมืองของชาวภูเก็ต ซึ่งก็คือ หน้าวัวพันธุ์เปลวเทียนภูเก็ตนั่นเอง

คุณพฤษ ฟุ้งเหียน นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดภูเก็ต ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเปลวเทียนภูเก็ตว่า หน้าวัวและเปลวเทียนนั้นจัดว่าเป็นพืชตระกูลเดียวกัน แต่มีลักษณะทางกายภาพต่างกัน นั่นคือ จานรองของดอกหน้าวัวมีร่องน้ำตา ส่วนจานรองของเปลวเทียนไม่มีร่องน้ำตา นอกจากนี้ เปลวเทียนยังมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าหน้าวัวอีกด้วย ทำให้สามารถปลูกเปลวเทียนในสวนยางพาราได้ สำหรับหน้าวัวที่สามารถปลูกในสวนยางได้ อาทิ พันธุ์เปลวเทียนภูเก็ต เปลวเทียนลำปาง พันธุ์ผกามาศ และพันธุ์เลดี้เจน สำหรับการปลูกหน้าวัวในสวนยางนั้นก็ไม่ยุ่งยากนัก ปรับสภาพพื้นที่เป็นร่อง ใช้อิฐหักกับกาบมะพร้าวเป็นวัสดุในการปลูก

"การปลูกเปลวเทียนในสวนยางถือเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี เพราะลงทุนไม่สูงนัก ต่างจากหน้าวัวพันธุ์ต่างประเทศที่ต้องลงทุนทำโรงเรือน และเซ็ตระบบการดูแลต่างๆ อย่างดี นอกจากนี้ เปลวเทียนภูเก็ตก็ออกดอกตลอดทั้งปี ขายได้ราคาดี ดังนั้น จึงเป็นพืชร่วมยางพาราที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ ที่สำคัญภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความต้องการไม้ดอกสูงอยู่แล้ว ดังนั้น เกษตรกรจึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการตลาดแต่อย่างใด" คุณพฤษ กล่าว

สำหรับเกษตรกรที่ปลูกเปลวเทียนภูเก็ตในสวนยางก็คือ คุณสมบูรณ์ วงศ์กสิกิจ อยู่บ้านเลขที่ 98 หมู่ที่ 2 ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เบอร์โทรศัพท์ (089) 731-0144, (089) 393-0790 คุณสมบูรณ์เล่าว่า ที่จังหวัดภูเก็ตมีการปลูกเปลวเทียนภูเก็ตมานานแล้ว ในส่วนของตนนั้น ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดภูเก็ตได้ให้ต้นพันธุ์มาปลูก จำนวน 200 ต้น ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจมากนัก และเริ่มหันมาจริงจัง ขยายพันธุ์ปลูกในสวนยางพาราเพิ่มขึ้น เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดในจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันมีเปลวเทียนภูเก็ตประมาณ 10,000 ต้นแล้ว โดยปลูกในพื้นที่สวนยางพาราประมาณ 3 ไร่

คุณสมบูรณ์ กล่าวว่า จุดเด่นของเปลวเทียนภูเก็ตก็คือ ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ ไม่ต้องใส่ใจมากเหมือนหน้าวัวพันธุ์ต่างประเทศที่ต้องพิถีพิถัน จับต้องอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ต้องคอยเด็ดใบเน่าทิ้ง เด็ดดอกที่เสียออกไป ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะเสียหายบานปลาย ทั้งนี้ การปลูกเปลวเทียนภูเก็ตในสวนยางนั้นมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากนัก เริ่มจากการทำสวนยางให้โล่งเตียน เตรียมดินปลูกขุดเป็นร่องยาว ระหว่างแถว 50 เซนติเมตร และระหว่างต้น 40x40 เซนติเมตร จากนั้นก็ปลูกได้โดยใช้กาบมะพร้าวเป็นเครื่องปลูก ข้อควรระวังคือ ลำต้นต้องฝังดิน จะปล่อยให้ลอยไม่ได้ เพราะต้นกล้าจะหาอาหารไม่ได้ ทำให้เหี่ยวแห้งตายในที่สุด ปลูกแล้วรดน้ำตามปกติ วันละ 1 ครั้ง ไม่ถึง 1 เดือน ก็ตั้งตัวได้ และต้องได้รับแสงแดดรำไรนั่นคือ เปลวเทียนภูเก็ตสามารถอยู่ได้ภายใต้ร่มเงาของต้นยางพารานั่นเอง

คุณสมบูรณ์ กล่าวว่า ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เปลวเทียนภูเก็ตจะออกดอก 1 ดอก นั่นคือ แต่ละต้นจะให้ดอก 6 ดอก ต่อปี สำหรับลักษณะของเปลวเทียนภูเก็ตที่เก็บได้นั้น สังเกตจากเกสรสีขาวที่ขึ้นมาครึ่งหนึ่งของลำเกสร ถ้าสีขาวขึ้นมาเล็กน้อยดอกจะสั้น ไม่แข็งแรง เสียหายได้ง่ายเวลาขนย้าย ปัจจุบันเปลวเทียนภูเก็ต ขายคละดอกละ 5 บาท ที่ผ่านมาเคยส่งไปขายที่ตลาดนัดจตุจักร แต่ช่วงหลังเน้นตลาดในภูเก็ตที่เดียว เพราะยังมีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทั้งนี้ จะเห็นว่า เปลวเทียนภูเก็ตไม่มีปัญหาเรื่องตลาด และราคาไม่แพงเหมือนหน้าวัวพันธุ์ต่างประเทศ ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า สำหรับท่านใดที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเปลวเทียนภูเก็ตสามารถสอบถามข้อมูลจากคุณสมบูรณ์ได้ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ข้างต้น