ก่อนอื่นใคร่ขอชี้แจงว่า กล้วยไม้ที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ ไม่ใช่กาฝาก ซึ่งดูดน้ำและอาหารจากภายในต้นไม้ที่อาศัยเกาะ น้ำและอาหารซึ่งรากกล้วยไม้ได้รับมีผลจากความชื้นในอากาศและที่เปลือกนอกของต้นไม้ดูดซับเอาไว้
ส่วนอาหารธาตุก็ได้รับจากเปลือกนอกซึ่งตายแล้วสลายตัวทำให้ได้รับแร่ธาตุ รวมถึงเศษใบไม้ผุซึ่งร่วงหล่นลงมาค้างอยู่ตามคาคบ หลังจากได้รับน้ำฝนก็จะเกิดปฏิกิริยาสลายตัว ชะล้างอาหารธาตุลงมาให้แก่รากกล้วยไม้ด้วย ทั้งยังมีเชื้อรากลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในผิวรากช่วยย่อยอาหารให้อีกทางหนึ่ง
การปลูกกล้วยไม้บนต้นไม้ มีหลักการสำคัญชั้นแรก คือ ต้องพิจารณาให้กล้วยไม้อยู่ในลักษณะที่เคยอยู่ตามธรรมชาติ เช่น กล้วยไม้บางชนิดห้อยหัวลง บางชนิดอยู่บนกิ่งไม้ที่ลาดเอน และส่วนยอดของต้นกล้วยไม้ตั้งตรงขึ้นด้านบน
หากเป็นมาจากธรรมชาติโดยตรงและนำมาปลูก มีวิธีที่จะวินิจฉัยได้ว่าขณะอยู่ในป่าต้นขึ้นอยู่ในลักษณะอย่างไร โดยสิ่งแรกให้สังเกตดูว่าด้านบนของใบส่วนใหญ่หันไปสู่ทางไหน ย่อมหมายความว่าด้านนั้นคือด้านซึ่งหันสู่ด้านบน เนื่องจากเป็นด้านที่หันรับแสงจากดวงอาทิตย์ จากนั้นจึงลองถือต้นกล้วยไม้ตามทิศทางดังกล่าว แล้วมองไปที่ราก ซึ่งสานกันเป็นแผ่นไม่ว่าเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ อย่างน้อยก็พอบอกได้ถึงลักษณะและทิศทางของกิ่งไม้ที่กล้วยไม้นั้นเคยเกาะอยู่เดิมว่ามีลักษณะตั้งตรงหรือลาดเอียงแค่ไหน
หากมองไม่ชัดหรือมองไม่ออกว่าแต่เดิมต้นกล้วยไม้เคยอยู่ในลักษณะใด หรือหากเป็นกล้วยไม้ซึ่งเคยปลูกอยู่ในภาชนะ ไม่ว่าจะเป็นกระถางหรือสิ่งอื่นมาแล้ว สิ่งแรกซึ่งไม่ควรฝืนก็คือ ควรกำหนดให้ด้านบนของใบส่วนใหญ่หันขึ้นสู่ด้านบน ถ้าไม่อาจจัดได้ตามที่กล่าว อย่างน้อยก็ควรจัดให้ใกล้เคียง เพื่อให้โอกาสกล้วยไม้ปรับตัวได้ง่ายในภายหลัง อย่าฝืนปลูกให้ด้านบนของใบคว่ำลงด้านล่าง
ประการที่สอง ถ้าเห็นสมควรปลูกกล้วยไม้กับต้นไม้ ซึ่งตั้งตรง ไม่ควรผูกติดแนบเข้าไปกับลำต้น โดยเฉพาะส่วนปลายยอดของต้นกล้วยไม้ หากแนบติดกับผิวต้นไม้นำไปปลูกจะมีโอกาสเน่าง่าย เนื่องจากขณะที่ฝนตกน้ำจะมีโอกาสไหลลงยอดกล้วยไม้ได้สะดวก และหากสังเกตจากต้นกล้วยไม้ ซึ่งขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในลักษณะนี้ จะพบว่าระบบรากเท่านั้นที่แผ่กว้างเป็นแผ่นแนบอยู่กับเปลือกต้นไม้ ส่วนต้นและยอดจะเอียงออกมาอยู่ในอากาศอย่างอิสระ
ระพี สาคริก