เข้าสู่เว็บสำนักหอสมุดฯ


รายละเอียดข้อมูล
เรื่อง :
วารินทร์ ชิตะปัญญา กับการผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทู เพื่อการส่งออก
   
ปัญหา :
 
 
"อาร์ทูอีทู" จัดเป็นมะม่วงพันธุ์การค้าของประเทศออสเตรเลีย พัฒนามาจากมะม่วงพันธุ์เคนท์ (Kent) ผลมีลักษณะกลม เนื้อแข็ง ผลค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ยประมาณ 800 กรัม-1 กิโลกรัม ต่อผล ปริมาณเนื้อผลประมาณ 81.61 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสุกผิวผลจะมีสีเหลืองอมแดง เนื้อสีเหลืองมะนาว ไม่มีเสี้ยน รสชาติหวาน เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวได้นาน เมื่อนำมาปลูกในประเทศไทยได้ผลผลิตและคุณภาพไม่แพ้ที่ปลูกในออสเตรเลีย ปลูกได้ในทุกพื้นที่ในบ้านเราที่ปลูกมะม่วงได้ (ยกเว้นภาคใต้) มีคำยืนยันมาจากพ่อค้าส่งออกมะม่วงว่า อาร์ทูอีทูในบ้านเรา ขนาดผล สีสันมีสีแดง ได้คุณภาพไม่แพ้มะม่วงอาร์ทูอีทูที่ปลูกประเทศออสเตรเลียได้อย่างแน่นอน เพียงแต่จะต้องปรับปรุงเทคนิคในการผลิตและวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวให้ดีขึ้น เช่น การตัดแต่งกิ่งช่วยให้ผลมะม่วงได้รับแสงแดดเต็มที่ ทำให้ผิวผลมีสีแดงจัดสม่ำเสมอทั่วผล หรือจะเป็นการใช้ถุงห่อชุนฟงเข้ามาช่วย เป็นต้น ข้อได้เปรียบหนึ่งของมะม่วงอาร์ทูอีทูที่ปลูกในไทยคือ ค่าแรงงานถูกกว่าค่าแรงงานในประเทศออสเตรเลีย

คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา อยู่บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง 21130 โทร. (081) 905-9223 นับเป็นเกษตรกรที่บุกเบิกการปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทูในเชิงพาณิชย์เป็นคนแรกของประเทศไทย คุณวารินทร์ได้นำยอดมะม่วงอาร์ทูอีทูมาจากออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2532 ปัจจุบันต้นแม่พันธุ์ยังให้ผลผลิตและขนาดต้นสูงถึง 15 เมตรด้วย คุณวารินทร์มีนิสัยส่วนตัวที่ชอบเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะต้องมองหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มาปลูกอยู่เสมอ อดีตคุณวารินทร์ปลูกมะม่วงไว้มากมายหลายสายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น มันทวายเดือนเก้า ปัจจุบันมะม่วงเหล่านี้ถูกเปลี่ยนยอดใหม่เป็นมะม่วงอาร์ทูอีทูทั้งหมด และกำลังขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มอีก



มะม่วงอาร์ทูอีทู

ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้


ถึงแม้ว่ารสชาติของมะม่วงอาร์ทูอีทูจะไม่หวานแหลมเท่ากับมะม่วงน้ำดอกไม้ของไทยก็ตาม (มะม่วงอาร์ทูอีทูวัดค่าความหวานได้ประมาณ 18% บริกซ์ ในขณะที่มะม่วงน้ำดอกไม้ 20% บริกซ์) แต่ข้อดีของมะม่วงอาร์ทูอีทู คือเปลือกจะหนาและแข็ง ทำให้ทนต่อโรคแอนแทรกโนสได้ดี การขนส่งก็ไม่ช้ำง่าย อายุในการวางตลาดได้นานนับสัปดาห์ และเป็นที่สังเกตว่าในปัจจุบันเริ่มมีคนไทยบางกลุ่มให้ความสนใจในการบริโภคมะม่วงสายพันธุ์นี้กันมากขึ้น เนื่องจากเป็นมะม่วงที่มีเนื้อมาก ละเอียดเนียนและรสชาติไม่หวานจัด ที่สำคัญไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้เหมือนมะม่วงต่างประเทศบางสายพันธุ์ ปัจจุบันคุณวารินทร์เป็นเกษตรกรที่ปลูกมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูและมีผลผลิตส่งขายตลาดในประเทศและต่างประเทศมานาน 5-6 ปี แล้วเริ่มจากวางขายอยู่ไม่กี่แห่งคือ ตลาด อ.ต.ก. กรุงเทพมหานคร และตลาดถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-พัทยา โดยขายผลผลิตจากสวนวารินทร์ในตอนนั้นได้ราคากิโลกรัมละ 45 บาท ปัจจุบันการผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูของคุณวารินทร์ได้เน้นผลิตเพื่อส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน รัสเซีย ฯลฯ และขายผลผลิตจากสวนได้ราคาดีตลอดฤดูกาล



เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้คุณวารินทร์ได้ให้ความสนใจ

ต่อการปลูกมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทู


คุณวารินทร์ บอกว่า มะม่วงอาร์ทูอีทูไม่จำเป็นต้องทำประชาสัมพันธ์ในด้านการตลาดมากนัก เนื่องจากประเทศออสเตรเลียได้มีการส่งเสริมการตลาดไว้ทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยเพียงแต่แทรกตลาดเข้าไปเท่านั้น ที่ผ่านมาการส่งเสริมมะม่วงไทยไปขายยังตลาดต่างประเทศเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีอุปสรรคมากมายหลายประการ ดังนั้น การผลิตมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูเพื่อการส่งออกไม่ต้องเสียเวลาในการสร้างตลาด ที่สำคัญผลผลิตมะม่วงออสเตรเลียจะออกสู่ตลาดไม่ตรงกับมะม่วงของไทย



การตัดแต่งกิ่งมีความสำคัญ

ต่อการปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทู


หลังจากมะม่วงติดผลขนาดเท่าผลส้มเขียวหวาน ควรเลือกไว้เพียง 1 ผล ต่อ 1 ช่อ จะต้องมีการตัดแต่งกิ่งให้ต้นมะม่วงโปร่งและมีการรูดใบด้วยมือหรือกรรไกรที่บังแสงแดดออก ควรให้ผลได้รับแสงแดดมากที่สุด เพื่อให้ผลมะม่วงมีการพัฒนาเม็ดสีหรือออกสีแดงทั่วผลให้มากที่สุด อีกเคล็ดลับหนึ่งในการช่วยให้มะม่วงอาร์ทูอีทูออกสีแดงเพิ่มขึ้น คุณวารินทร์แนะนำว่า การฉีดสารอีทีฟอน (เช่น อีเทรล) อัตรา 4 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ผลมะม่วงในช่วงที่มีการเปลี่ยนสีหรือออกสีแดง โดยฉีดให้ประมาณ 2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน จะทำให้ผิวผลสีแดงขึ้น เนื่องจากเป็นจุดเด่นดึงดูดในการเลือกซื้อมะม่วงอาร์ทูอีทู นอกจากผลใหญ่แล้วผลจะต้องมีสีแดงด้วย อาร์ทูอีทูเป็นมะม่วงที่มีขนาดของผลใหญ่และเนื้อมากในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 1 เดือน ควรฉีดพ่นปุ๋ยทางใบที่มีโพแทสเซียมสูง (เช่น โพแทสเซียม ไนเตรต) เพื่อเพิ่มคุณภาพเนื้อและความหวาน



"แมลงวันทอง" อุปสรรคสำคัญ

ของการส่งออกมะม่วงอาร์ทูอีทู


คุณวารินทร์บอกว่า แมลงวันทองนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกษตรกรจะต้องเฝ้าระวังให้ดี มีหลายวิธีป้องกัน อาทิ ใช้กับดักจากสารล่อเมทธิลยูจีนอล เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตมะม่วงเสร็จและเริ่มตัดแต่งกิ่ง ควรมีการตัดหญ้า วัชพืช หรือกิ่งมะม่วงที่ตัดแต่งนำมากองสุมไว้รอบๆ สวน ให้หญ้าเหี่ยว จากนั้นใช้กำมะถันเหลืองที่หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้างหรือร้านขายยาแผนโบราณ นำมาทุบเป็นก้อนเล็กๆ หรือเป็นผงโรยบนกองหญ้าแห้ง จุดไฟสุมให้เกิดเป็นควันคลุ้งทั่วสวน จะเป็นการไล่แมลงวันทองได้เป็นอย่างดี การสุมควันด้วยกำมะถันเหลืองสามารถทำได้ง่ายและบ่อยครั้ง เป็นวิธีที่ทำง่ายและประหยัด นอกจากนั้น เกษตรกรจะต้องทำสภาพสวนที่สะอาดอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ภายในสวนเป็นแหล่งสะสมของผลไม้สุกเน่า จะช่วยลดปริมาณแมลงวันทองได้ดีที่สุด แต่จากการทดลองใช้ถุงห่อสีขาวของชุนฟงที่แสงและอากาศผ่านได้ และห่อผลมะม่วงอาร์ทูอีทูในช่วงเริ่มมีการเข้าสีแดงที่ผล ปรากฏว่ามะม่วงอาร์ทูอีทูที่ห่อก็ออกสีแดงใช้ได้ ในอนาคตการใช้ถุงห่อชุนฟงเข้ามามีบทบาทแน่นอน จะช่วยลดต้นทุนเรื่องสารเคมี และลดสารเคมีตกค้างต่างๆ ได้

คุณวารินทร์ยังเล่าต่อไปว่า เรียนรู้และใช้สารเคมีมาโดยตลอด จึงเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะสภาพของต้นไม้ที่ปลูกอย่างต้นมะม่วงที่มีการใช้สารแพคโคลบิวทราโซลราดมาเป็นเวลานานนับสิบปี ต้นมะม่วงจะทรุดโทรม การเจริญต้นกิ่งก้านแม้แต่ใบมะม่วงก็ไม่ค่อยดีนัก จึงได้คิดนำพวกน้ำหมักชีวภาพที่หมักจากพวกนมตามสูตรของทางสวนวารินทร์ ผลจากการใช้ทำให้ฟื้นฟูสภาพต้นมะม่วงอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่วนการฉีดพ่นด้วยน้ำหมักจากกะเพราป่า ฉีดป้องกันเพลี้ยแป้ง ได้ผลค่อนข้างดีมาก เกษตรกรจำเป็นต้องหันมาใช้เรื่องชีวภาพเข้ามาผสมผสานด้วย จะทำให้การทำสวนประสบผลสำเร็จ



คุณวารินทร์บอกว่าราคาซื้อ-ขายมะม่วงสายพันธุ์นี้

ได้ราคาดีตลอดฤดูกาล


ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูกาลมะม่วงในประเทศออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนเมษายน ราคาผลผลิตจะตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 3-5 บาท มะม่วงอาร์ทูอีทูขายจากสวนวารินทร์ที่ส่งออกไปยังประเทศ จึงเป็นหลักในปีนี้ (เดือนเมษายน 2552) จะแบ่งเป็น 3 เกรด คือ เบอร์ใหญ่ ราคา 75 บาท ต่อกิโลกรัม เบอร์กลาง ราคา 65 บาท ต่อกิโลกรัม เบอร์เล็ก ราคา 40 บาท ต่อกิโลกรัม ผลที่มีตำหนิหรือตกเกรดก็สามารถจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นได้ไม่ต่ำกว่า 25 บาท ต่อกิโลกรัม มะม่วงอาร์ทูอีทูที่มีน้ำหนักผลมากกว่า 800 กรัมขึ้นไป ผลมีสีแดงจะได้ราคาดีมากและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก



ระบบการปลูก และการดูแลรักษา

มะม่วงอาร์ทูอีทู


คุณวารินทร์บอกว่า ดูแลเหมือนกับมะม่วงไทยสายพันธุ์อื่นๆ ระยะปลูกของสวนวารินทร์เป็นระยะ 6x6 เมตร เพราะเป็นระยะของแปลงมะม่วงเดิมที่ถูกเปลี่ยนยอดใหม่เป็นอาร์ทูอีทู โดยมะม่วงอาร์ทูอีทูมีการเจริญเติบโตทางกิ่งค่อนข้างเร็ว ระยะปลูกที่เหมาะสมควรสัก 6x8 เมตร แต่ในอนาคตหากมีการตัดแต่งให้ทรงพุ่มเตี้ยก็ต้องปรับเปลี่ยนอีกที



วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว

มะม่วงอาร์ทูอีทูของสวนวารินทร์


การเก็บเกี่ยวมะม่วงอาร์ทูอีทูในแปลงควรตัดให้ก้านขั้วติดผลมา ให้มีความยาวสุดก้านขั้ว เพราะอาร์ทูอีทูเป็นมะม่วงมียางมาก ถ้าเกษตรกรตัดขั้วสั้น ยางมะม่วงจะไหลออกมามาก เลอะผิวมะม่วง เสียเวลาในการล้าง แล้วความแรงของยางก็อาจจะทำให้ผิวมะม่วงเสียได้ จากนั้นรีบขนย้ายมะม่วงเข้าไปคัดในโรงคัด ใช้เกษตรกรที่มีความชำนาญในการคัดเกรดมะม่วง จะคัดอาร์ทูอีทูตามเบอร์หรือหากมีตำหนิก็จะต้องแยกไว้ต่างหาก แต่ที่สำคัญผู้คัดเกรดจะต้องดูเรื่องแมลงวันทองทำลายผลหรือไม่ ใช้กรรไกรตัดขั้วให้ชิดผล นำมาวางบนกระสอบป่าน ทิ้งไว้สัก 10 นาที เพื่อให้หมดยาง นำมะม่วงอาร์ทูอีทูมาล้างคราบต่างๆ ในน้ำสะอาดผสมกับน้ำยาล้างจาน ใช้ฟองน้ำหรือผ้าขัดเช็ดเบาๆ ให้คราบต่างๆ หลุดร่อน จากนั้นล้างน้ำสะอาดอีกสัก 2 น้ำ นำผลมะม่วงแช่ในสารป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่มอะซ็อกซีสโตรบิน เพื่อป้องกันโรคแอนแทรกโนส แช่นานราว 5 นาที จึงนำไปวางบนกระสอบป่าน ผึ่งลมให้แห้ง ใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบต่างๆ ให้สะอาดอีกครั้ง ถ้ายังมีคราบยางมะม่วงที่ติดผิวหลงเหลืออยู่ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดคราบยางออกอีกครั้ง ติดสติ๊กเกอร์คุณภาพมาตรฐานตัวคิว (Q) และสติ๊กเกอร์แสดงคุณค่าอาหารของมะม่วงอาร์ทูอีทู

คุณวารินทร์ทิ้งท้ายฝากถึงเกษตรกรไว้ว่า "เกษตรกรควรจะต้องมองไปข้างหน้า วิเคราะห์ตลาดในอนาคตให้ขาดและจะต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ผมเองกล้าเปลี่ยนพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองและมะม่วงพันธุ์อื่นๆ ในสวนเป็นมะม่วงอาร์ทูอีทูโดยทั้งหมด ปัจจุบันนี้ มะม่วงอาร์ทูอีทูตลาดมีความต้องการสูงมาก ราคาจูงใจ อย่างน้อยอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดมะม่วงอาร์ทูอีทูยังไปได้ดี"



หนังสือ "มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศเพื่อการส่งออก" พิมพ์ 4 สี จำนวน 84 หน้า แจกฟรี พร้อมกับ "การผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก" รวม 168 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ 50 บาท (ระบุชื่อหนังสือ) ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398

วิธีแก้ไข :
 
ที่อยู่
 
หมู่บ้าน :
ตำบล / แขวง :
อำเภอ / เขต :
จังหวัด :
ระยอง
รหัสไปรษณีย์ :
ภาค :
ภาคตะวันออก
แหล่งข้อมูล
 
แหล่งที่มา :
เทคโนโลยีชาวบ้าน : วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 21 ฉบับที่ 457
 

ย้อนกลับ


   
วัตถุประสงค์โครงการ
   
จำแนกปัญหาตามภูมิภาค
จำแนกปัญหาตามจังหวัด
จำแนกปัญหาตามประเภท
สืบค้นตามชื่อเรื่องแบบใช้คีย์เวิร์ด
สรุปภาพรวมของปัญหา
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่ภูมิภาค
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่จังหวัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สารสนเทศเกษตร
เกษตรพลิกฟื้นชาติ
สารพันความรู้
กรมส่งเริมการเกษตร
ห้องสมุดกรมวิชาการเกษตร
เทคโนโลยีชาวบ้าน
หนังสือพิมพ์มติชน
ติดต่อ E-mail : คลิกที่นี่
 
 

สถิติจาก truehit.net

   


Download Acrobat Reader

Best view with IE 5.0 or later version at 800x600
All comments please mail to
Webmaster

This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร 0 2201 7256 แฟกซ์ 0 2201 7265
Email : info@dss.go.th
ปรับปรุง : Tuesday, May 2, 2017 11:07 PM