เข้าสู่เว็บสำนักหอสมุดฯ


รายละเอียดข้อมูล
เรื่อง :
ดูการเลี้ยงจระเข้น้ำเค็มเชิงพาณิชย์ ที่เมืองแคนส์
   
ปัญหา :
 
 
"แคนส์" (CAIRNS) เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ มีระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์อยู่ 2 แห่ง คือ แนวปะการังเกรทแบริอารีฟ (Great Barrier Reef) ที่มีความยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร และยังคงความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยิ่งป่าฝนที่มีความสมบูรณ์ในเนื้อที่มากกว่า 1 ล้านไร่ (ป่าฝนเขตร้อน ที่เมืองแคนส์ มีอายุเก่าแก่โบราณและสลับซับซ้อนมาก ปกคลุมไปด้วยพฤกษชาติพื้นเมือง เช่น ต้นเฟิร์นที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ใหญ่มีอายุกว่า 150 ปี ลักษณะทั่วไปของป่าฝนเขตร้อนก็คือ มีจำนวนต้นไม้ปกคลุมอย่างหนาแน่น แสงแดดส่องไม่ทะลุถึงพื้นดิน ข้างใต้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เตี้ยลดหลั่นลงมาเป็นชั้น) ในเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ จะมีใบไม้และกิ่งไม้แห้งทับถมกันอยู่บนดิน ประมาณ 400 ตัน สูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร จะมีกิ่งไม้และใบไม้ปกคลุมอยู่อีกประมาณ 200 ตัน และในแต่ละปีจะมีใบไม้ร่วงลงมาทับถมกันอยู่ 10 ตัน ย่อยสลายหมุนเวียนกันไปตามธรรมชาติ และสถานที่ทั้งสองนี้ได้รับประกาศให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ที่เมืองแคนส์ ยังได้มีการอนุรักษ์สภาพป่าชายเลนที่มีความสมบูรณ์มานานนับร้อยปี ปัจจุบัน มีจระเข้น้ำเค็มอาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน นักท่องเที่ยวที่ล่องเรือชมป่าชายเลนจะได้เห็นจระเข้น้ำเค็มอาศัยอยู่มากพอสมควร นั่นแสดงว่าการอนุรักษ์ป่าชายเลนของออสเตรเลียประสบความสำเร็จ ธรรมชาติคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ที่เมืองแคนส์ มีการทำฟาร์มจระเข้น้ำเค็มอยู่หลายแห่ง และมีการเลี้ยงจระเข้น้ำเค็มในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งบางฟาร์มเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า จระเข้น้ำเค็มจัดเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปกติทั่วไปจระเข้น้ำเค็มเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีความยาวของลำตัวไม่เกิน 4 เมตร (แต่ที่เมืองแคนส์เคยจับจระเข้น้ำเค็มในธรรมชาติมีความยาวของลำตัวถึง 6 เมตร) โดยปกติจระเข้น้ำเค็มจะอาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน แต่จะต้องเป็นสภาพน้ำนิ่งและลึกพอสมควร ลักษณะของจระเข้น้ำเค็มจะแตกต่างกับจระเข้น้ำจืด ตรงที่ลำตัวยาวมีลักษณะลำตัวค่อนข้างกลม ท้องแบนราบ ขามี 2 คู่ ใช้สำหรับเดินและวิ่ง ขาคู่หน้าจะไม่ค่อยแข็งแรงและมีนิ้ว 5 นิ้ว ส่วนขาคู่หลังจะมีลักษณะแข็งแรงกว่าและมีนิ้วเพียง 4 นิ้ว มีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่าจระเข้น้ำจืด บางครั้งคนจะเรียกจระเข้น้ำเค็มว่า "จระเข้ตีนเป็ด" ส่วนของปากจระเข้น้ำเค็มจะยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างชัดเจน เป็นที่ทราบกันดีว่าจระเข้น้ำเค็มมีนิสัยดุร้ายกว่าจระเข้น้ำจืด



การแยกเพศ และการผสมพันธุ์จระเข้น้ำเค็ม

ส่วนที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ลำตัว จระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีลำตัวผอมยาว ตัวเมียจะมีลำตัวอ้วนสั้นกว่า ขนาดตัวโดยรวมตัวจะเล็กกว่าตัวผู้ที่อายุเท่ากัน หาง จระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีหางยาวกว่าจระเข้ตัวเมีย หัว ตัวผู้ระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น ส่วนตัวเมียจะดูหัวยาวเรียวกว่า เพศผู้จะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 16 ปี ส่วนเพศเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10 ปี แต่จะให้ไข่ที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12 ปี มีขนาดลำตัวยาว 2.2 เมตร มีการผสมพันธุ์ในฤดูร้อนและวางไข่ในฤดูฝน ครั้งละ 25-90 ฟอง การวางไข่จะใช้เวลา ประมาณ 20-25 นาที ใช้ระยะเวลาในการฟักไข่ประมาณ 80 วัน ขนาดของไข่จระเข้น้ำเค็มจะใหญ่กว่าจระเข้น้ำจืดเล็กน้อย มีน้ำหนักประมาณ 110-120 กรัม



การฟักไข่จระเข้น้ำเค็ม

จากการศึกษาพบว่า อัตราการฟักไข่ของจระเข้น้ำเค็มในสภาพการเลี้ยงมีประมาณ 40-50% และมีอัตราการตายแรกเกิดสูงมาก โดยเฉพาะในปีแรกมีอัตราการตายสูงถึง 20-30% และในการฟักไข่คนเลี้ยงต้องคอยสังเกตให้ดี ถ้าเห็นว่ามีการวางไข่แล้ว ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องเก็บไข่ไปฟักทันที โดยนำไข่จระเข้มาล้างเมือกให้สะอาด นำเข้าตู้ฟักที่มีความชื้นสัมพัทธ์ในระดับ 95-99% ต่ำกว่านี้ไม่ได้ เพราะไข่จะแห้ง ตัวอ่อนจะตาย เพราะขาดน้ำ อีกทั้งจะต้องกำหนดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับ 30-31 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิมีผลต่อการกำหนดเพศจระเข้ และระยะเวลาการฟักไข่ ถ้าอุณหภูมิอยู่ในช่วงดังกล่าวลูกจระเข้ที่ฟักออกมาจะเป็นตัวผู้และตัวเมียเท่าๆ กัน แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านั้น ส่วนใหญ่จะออกมาเป็นตัวเมียและใช้เวลาฟักนาน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านั้นส่วนใหญ่จะฟักออกมาเป็นตัวผู้ และใช้เวลาสั้นกว่าปกติ ที่จะใช้เวลาประมาณ 75 วัน จึงจะฟักออกเป็นตัว ลูกจระเข้ที่ได้รับการดูแลดีจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปีแรกมีความยาวประมาณ 1 เมตร ปีที่สอง ยาวประมาณ 1-5 เมตร ซึ่งในระยะสองปีแรกนี้น้ำหนักตัวของลูกจระเข้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ของน้ำหนักอาหารที่ได้รับ และปีที่สาม ลำตัวจะยาวประมาณ 2 เมตร และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 25-30%



อาหารที่ใช้เลี้ยงลูกจระเข้น้ำเค็ม

ในช่วง 7 วันแรก ลูกจระเข้จะยังอาศัยอาหารจากถุงไข่แดงที่หน้าท้องอยู่ แต่หลังจากนั้นต้องให้อาหารที่มีสารอาหารสูง เช่น เนื้อปลา กุ้ง หมู ไก่สับ และสัตว์มีชีวิตพวกลูกปลา ลูกกบ และกุ้ง เป็นต้น จะต้องให้อาหารทุกวัน วันละ 5-10% ของน้ำหนักตัว ซึ่งจะทำให้ลูกจระเข้เจริญเติบโตดีและรวดเร็ว หลังจากนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามวัย คืออายุ 1-3 เดือน ให้อาหารจำพวกลูกปลาหรือลูกกบที่มีชีวิต อายุ 4-6 เดือน ให้อาหารผสมเป็นลูกปลาลูกกบที่มีชีวิต 3 ส่วน กับเนื้อไก่ เนื้อหมู ไม่ติดมัน ผสมวิตามินอีก 7 ส่วน และอายุ 7-12 เดือน ให้เนื้อไก่ เนื้อหมู ไม่ติดมัน ผสมวิตามิน หลังจากนั้น ก็จะเปลี่ยนเป็นอาหารผสม โดยใช้โครงไก่ผสมกับวิตามิน 3 ส่วน ปลาน้ำเค็ม 1 ส่วน กับไก่ทั้งตัวติดกระดูก แต่เลาะมันและเครื่องในออกให้หมด 6 ส่วน และต้องให้ตับเป็นอาหารเสริมทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้งด้วย ส่วนจระเข้พ่อแม่พันธุ์จะไม่ให้อาหารมากนัก โดยให้ 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง ครั้งละ 2 กิโลกรัม เท่านั้น เพราะถ้าอ้วนเกินไปจระเข้จะผสมติดยาก



การทำเครื่องหมายระบุตัวจระเข้น้ำเค็ม

เนื่องจากจระเข้มีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก ทำให้มิอาจบ่งบอกว่าตัวใดเป็นตัวใดอย่างเด่นชัดและแน่นอน ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องหาวิธีการที่เหมาะสมมาใช้เพื่อบ่งบอกหรือชี้ชัดให้ทราบและแยกแยะจระเข้แต่ละตัวออกจากกันอย่างแม่นยำถูกต้องที่สุด และปลอมแปลงให้ได้ยากที่สุด ประโยชน์จากการทำเครื่องหมายใช้ในการจัดการผสมพันธุ์ ทำให้รู้ว่าลูกตัวใดเกิดจากพ่อแม่พันธุ์ตัวไหน ป้องกันการผสมในสายเลือดเดียวกัน ทำให้สามารถกำจัดพ่อแม่พันธุ์ที่มีพันธุกรรมบกพร่องออกไป ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการคัดเลือกสายพันธุ์ด้วย ป้องกันและปราบปรามการลักขโมยจระเข้ได้ เพราะหากจระเข้ทุกตัวมีเบอร์หรือเครื่องหมายประจำตัวแล้ว จะเป็นหลักฐานยืนยันทางกฎหมายได้ และใช้ในการขึ้นทะเบียนของจระเข้แต่ละฟาร์มกับหน่วยงานที่ควบคุมกิจการเพาะเลี้ยงและขายจระเข้ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือของเอกชน ทำให้เกิดความเชื่อถือขึ้นว่าตั้งใจจริงที่จะเลี้ยงจระเข้เชิงพาณิชย์ มิใช่ล่าเอาจากธรรมชาติ





จากครอบครองและจดทะเบียนฟาร์มจระเข้น้ำเค็มในประเทศไทย

จระเข้ที่นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นมี 2 ชนิด คือ จระเข้น้ำจืด หรือจระเข้พันธุ์ไทย และจระเข้น้ำเค็ม (จระเข้ตีนเป็ดหรือไอ้เคี่ยม) สำหรับประเทศไทยแล้วนิยมเลี้ยงจระเข้น้ำจืดหรือจระเข้พันธุ์ไทยมากกว่าจระเข้น้ำเค็ม ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้ พันธุ์จระเข้น้ำจืดหาง่ายกว่าพันธุ์จระเข้น้ำเค็ม ทั้งนี้ เพราะมีฟาร์มที่เลี้ยงขายลูกจระเข้น้ำจืดอยู่หลายแห่ง จระเข้น้ำจืดเลี้ยงให้ลูกเร็วกว่า คือเริ่มเมื่ออายุ 10-12 ปี ส่วนจระเข้น้ำเค็มจะเริ่มเจริญพันธุ์ในตัวผู้เมื่ออายุ 16 ปี และตัวเมียที่อายุ 10 ปี มีการนำลูกจระเข้น้ำจืดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเลี้ยง จึงนับเป็นอีกแหล่งที่คอยสนับสนุนเรื่องพันธุ์มากขึ้น ผู้คนเชื่อว่าจระเข้น้ำเค็มต้องเลี้ยงด้วยน้ำเค็มเท่านั้นจึงหันมาเลี้ยงพันธุ์น้ำจืดซึ่งหาแหล่งน้ำง่ายกว่า แต่ความเป็นจริงแล้ว จระเข้น้ำเค็มสามารถเลี้ยงได้เป็นอย่างดีในน้ำกร่อย และพ่อแม่พันธุ์จระเข้น้ำเค็มมีน้อย ทั้งนี้เพราะในอดีตถูกล่าและส่งหนังสือออกขายยังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากตลาดโลกนิยมหนังจระเข้พันธุ์น้ำเค็มมาก

ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ผู้ที่จะครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองและทำฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแล สำหรับจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดหนึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมประมง ดังนั้น เกษตรกรที่ต้องการครอบครอง ทำฟาร์ม และค้าขายจระเข้ จำเป็นต้องขออนุญาตจากกรมประมงก่อน โดยติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ประมงอำเภอ ประมงจังหวัด หรือกองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง กรมประมง เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่างๆ ต่อไป



ผลิตภัณฑ์จากหนังจระเข้น้ำเค็ม

เมืองแคนส์ ค้าขายอย่างถูกกฎหมาย


จากการสอบถามจากผู้ดูแลฟาร์มจระเข้น้ำเค็มแห่งหนึ่งของเมืองแคนส์ ทราบว่าปัจจุบันเนื้อจระเข้จากออสเตรเลียจะมีการส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศเพียง 2% ของปริมาณส่งออกรวมของโลก ซึ่งยังนับว่าน้อยมาก แต่เท่าที่ดูในฟาร์มเลี้ยงจระเข้ที่เมืองแคนส์พบว่า บางฟาร์มมีจระเข้น้ำเค็มเป็นจำนวนมาก สำหรับผลิตภัณฑ์จากหนังจระเข้ เช่น เข็มขัด กระเป๋า ฯลฯ มีการค้าขายอย่างถูกกฎหมาย ผู้เขียนได้ซื้อลูกจระเข้น้ำเค็มที่สตัฟฟ์แล้วขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาเมืองไทยเพื่อเป็นของที่ระลึกราคาชิ้นละประมาณ 5,000 บาท ผู้ขายยังต้องติดใบอนุญาตซื้อขายผลิตภัณฑ์จากหนังจระเข้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันเรื่องผิดกฎหมาย และยืนยันว่าจระเข้น้ำเค็มตัวนั้นเป็นจระเข้ที่เลี้ยงในฟาร์ม มิใช่จับมาจากธรรมชาติ



ทุกฟาร์มเลี้ยงจระเข้น้ำเค็มที่เมืองแคนส์

จะต้องมีการขออนุญาตในการเลี้ยง

ปัจจุบัน การล่าหรือจับจระเข้ในธรรมชาติที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การเลี้ยงในเชิงพาณิชย์จะต้องขออนุญาต และมีใบรับรองเมื่อมีการส่งออกเนื้อจระเข้หรือผลิตภัณฑ์จากหนังจระเข้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานเลี้ยงจระเข้น้ำเค็มแห่งหนึ่งที่เมืองแคนส์ เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน ที่ฟาร์มเลี้ยงแห่งนี้มีจระเข้ที่เลี้ยงอยู่หลายหมื่นตัว โดยแบ่งการเลี้ยงออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จะสร้างสภาพบ่อให้เหมือนธรรมชาติมากที่สุด คือมีสภาพเหมือนป่าชายเลนและปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไปเลี้ยง ประมาณ 200 ตัว ปล่อยให้มีการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บไข่ขึ้นมาฟัก จากที่เห็นด้วยสายตา จระเข้บางตัวมีขนาดใหญ่มาก มีความยาวของลำตัว 3 เมตร ก็มี และทราบมาว่าจระเข้น้ำเค็มมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี เมื่อไข่ที่ฟักออกมาเป็นตัวจะนำออกมาเลี้ยงแยกในบ่อปูน ในบ่อปูนจะเลี้ยงจระเข้น้ำเค็มที่มีอายุ 3-4 ปี เพื่อรอจำหน่าย ในราคาตัวละประมาณ 2,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 60,000 บาท ต่อตัว
วิธีแก้ไข :
 
ที่อยู่
 
หมู่บ้าน :
ตำบล / แขวง :
อำเภอ / เขต :
จังหวัด :
---ไม่ระบุ---
รหัสไปรษณีย์ :
ภาค :
---ไม่ระบุ---
แหล่งข้อมูล
 
แหล่งที่มา :
เทคโนโลยีชาวบ้าน : วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 22 ฉบับที่ 465
 

ย้อนกลับ


   
วัตถุประสงค์โครงการ
   
จำแนกปัญหาตามภูมิภาค
จำแนกปัญหาตามจังหวัด
จำแนกปัญหาตามประเภท
สืบค้นตามชื่อเรื่องแบบใช้คีย์เวิร์ด
สรุปภาพรวมของปัญหา
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่ภูมิภาค
สรุปประเภทปัญหาตามแผนที่จังหวัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สารสนเทศเกษตร
เกษตรพลิกฟื้นชาติ
สารพันความรู้
กรมส่งเริมการเกษตร
ห้องสมุดกรมวิชาการเกษตร
เทคโนโลยีชาวบ้าน
หนังสือพิมพ์มติชน
ติดต่อ E-mail : คลิกที่นี่
 
 

สถิติจาก truehit.net

   


Download Acrobat Reader

Best view with IE 5.0 or later version at 800x600
All comments please mail to
Webmaster

This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร 0 2201 7256 แฟกซ์ 0 2201 7265
Email : info@dss.go.th
ปรับปรุง : Tuesday, May 2, 2017 11:07 PM