สหภาพยุโรปให้ความสำคัญกันการใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ความยั่งยืน จึงออกเกณฑ์ในการพิจารณาความยั่งยืนของเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพสู่ตลาดสหภาพยุโรป สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้

1.กฎระเบียบพลังงานทดแทนของสหภาพยุโรป ปี 2009 หรือRenewable Energy Directive (RED) บังคับเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนทั้งหมดในสหภาพยุโรป ไว้ที่ 20% ภายในปี 2020 และกำหนดให้การใช้พลังงานในภาคขนส่งของประเทศสมาชิก โดยต้องมาจากแหล่งพลังงานที่สามารถทดแทนได้ อย่างน้อย 10%  เช่น พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิงชีวภาพ ไฮโดรเจน เป็นต้น ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะต้องนำกฏระเบียบพลังงานทดแทน (RED)  ไปบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2010 (5 ธ.ค.53) เป็นอย่างช้า
2.ภาคการขนส่ง เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) เป็นพลังงานทดแทนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้สหภาพยุโรปบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่การผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวเกี่ยวกับความยั่งยืนในการผลิต biofuels ที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิต biofuels ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่ถูกโจมตีว่ามีการทำลายป่าดิบชื้นเพื่อนำพื้นที่มาใช้เพาะปลูกปาล์มน้ำมันสำหรับผลิตไบโอดีเซล ดังนั้น คณะกรรมาธิการยุโรปจึงกำหนดเกณฑ์ความยั่งยืน (sustainable criteria) ของ biofuels ขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้กับbiofuels ทั้งที่ผลิตภายใน สหภาพยุโรป และที่มาจากการนำเข้า โดยกำหนดให้ “biofuels ที่สามารถนำมาคำนวณรวมในเป้าหมาย 10% ได้ (ตามกฎระเบียบ RED) จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 35% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2017 แต่สำหรับอุปกรณ์ (installation) ที่เริ่มต้นทำการผลิตตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไปจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อย 60% โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018”