นักวิทยาศาสตร์แจ้งเตือนภูเขาน้ำแข็งนับล้านล้านตันแยกออกจากทวีปแอนตาร์กติกา สร้างความเสี่ยงที่หิ้งน้ำแข็งฝั่งตะวันตกของทวีปจะถล่ม ทว่าน้ำทะเลอาจยังไม่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน แต่อาจเพิ่มวามเสี่ยงต่อเรือเดินสมุทรในช่องแคบเดรกทางซีกโลกใต้ เอเอฟพีรายงานการแจ้งเหตุฉุกเฉินของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสวอนซี (Swansea University) ว่า หลังจากเกิดรอยแตกที่หิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซี (Larsen C ice shelf) ทางฝั่งตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกามาหลายปี ในที่่สุดรอยแยกของหิ้งน้ำแข็งดังกล่าวก็แตกออก นักวิทยาศาสตร์คาดว่าการแตกครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างช่วงวันที่ 10 ก.ค.-12 ก.ค.ของปี 2017 นี้ โดยหิ้งน้ำแข็งกินพื้นที่ 5,800 ตารางกิโลเมตร ซึ่งคาดว่าหลังภูเขาน้ำแข็งที่ลอยล่องไปในทะเลนั้นแตกออกจากหิ้งน้ำแข็งเวสต์แอนตาร์กติกาจะทำให้หิ้งแข็งเสี่ยงที่จะพังทลายมากขึ้น ทั้งนี้ รอยแยกของหิ้งน้ำแข็งนั้นเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เชื่อว่าภาวะโลกร้อนได้เร่งกระบวนการนี้ เมื่อน้ำของทะเลที่อุ่นขึ้นเข้ากัดเซาะเบื้องล่างของหิ้งน้ำแข็ง ขณะเดียวกันด้านบนของหิ้งน้ำแข็งก็เปราะลงจากอากาศที่อุ่นขึ้น สำหรับภูเขาน้ำแข็งที่แตกออกไปนี้หนาประมาณ 350 เมตร ซึ่งทีมนักวิจัยจากโครงการวิจัยแอนตาร์กติกามิดาส (MIDAS Antarctic research project) ระบุว่าภูเขาน้ำแข็งดังกล่าวหนักมากกว่าล้านล้านตัน แต่ว่าภูขาน้ำแข็งลูกนี้ก็ลอยอยู่ในทะเลอยุ่แล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบฉับพลันต่อระดับน้ำทะเล ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้น่าจะได้ชื่อว่า “เอ68” (A68) ซึ่งทีมวิจัยระบุว่า การที่ภูเขาน้ำแข็งนี้แยกตัวออกจากหิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซีนั้น ทำให้พื้นที่ของหิ้งแข็งดังกล่าวลดลงไปกว่า 12% และทำให้ภูมิทัศน์ของคาบสมุทรแอนตาร์กติกา (Antarctic Peninsula) เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ดาวเทียมขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ยังได้บันทึกเหตุการณ์ภูเขาน้ำแข็งแยกตัวจากหิ้งน้ำแข็งนี้ด้วย และแม้ว่าเหตุการณ์ภูเขาน้ำแข็งแยกตัวออกจากทวีปแอนตาร์กติกาเกิดขึ้นเป็นปกติ แต่ด้วยขนาดมหึมานี้ทำให้ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าจะทำให้เกิดอัตรายต่อการสัญจรของเรือในมหาสมุทรหรือไม่ อนาคตของภูเขาน้ำแข็งจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา โดยภูเขาน้ำแข็งอาจคงตัวเป็นภูเขาก้อนเดียว หรืออาจจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ได้ ซึ่ง เอเดรียน ลุคแมน (Adrian Luckman) หัวหน้าทีมศึกษาหลักของโครงการให้ข้อมูลว่า น้ำแข็งบางส่วนอาจจะคงอยู่ที่เดิมเป็นเวลาหลายทศวรรษ ขณะที่ในส่วนของภูเขาน้ำแข็งอาจจะล่องขึ้นไปทางเหนือสู่น้ำทะเลที่อุ่นกว่า เอเอฟพียังอ้างถึงข้อมูลจากองค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency) หรืออีซา (ESA) ว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรอาจจะลากเอาภูเขาน้ำแข็งลูกน้ำหรือชิ้นส่วนของภูเขาน้ำแข็งขึ้นไปไกลถึงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (Falkland Islands) และเป็นภัยคุกคามต่อเรือเดินสมุทรที่สัญจรในช่องแคบเดรก (Drake Passage) นอกจากนี้ยังมีบันทึกข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่จากทะเลเวดเดลล์ (Weddell Sea) ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับหิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซีกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่กระแสน้ำเย็นขั้วโลกแอนตาร์กติกา (Antarctic Circumpolar Current) ซึ่งไหลวนตามเข็มนาฬิกาจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกรอบทวีปทางขั้วโลกใต้ หรืออาจมุ่งหน้าสู่เซาท์แอตแลนติก (South Atlantic) อีกประเด็นที่น่าห่วงคือหิ้งน้ำแข็งส่วนที่เหลืออาจแตกสลายไปด้วย โดยหิ้งน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรนั้นได้รับการเติมเต็มเรื่อยๆ จากธารน้ำที่ไหลมาจากแผ่นดินของทวีปอย่างช้าๆ และหากไม่มีหิ้งน้ำแข็งแล้ว ธารน้ำแข็งก็จะไหลสู่มหาสมุทรโดยตรง ทีมวิจัยยังเตือนอีกว่า รูปทรงใหม่ของหิ้งน้ำแข็งลาร์เซนซีนี้อาจจะเสถียรน้อยลงกว่าเมื่อก่อน และมีความเสี่ยงที่ลาร์เซนซีจะเป็นเหมือนลาร์เซนบี (Larsen B) ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งแตกสลายไปเมื่อปี 2002 ตามหลังเหตุเกิดรอยแตกคล้ายกันนี้เมื่อปี 1995 ขณะที่ลาร์เซนเอ ( Larsen A) ถล่มไปเมื่อ 1995 ขณะที่นักวิจัยอีกหลายคนบอกว่า หากธารน้ำแข็งที่มีลาร์เซนซีเป็นกันชนนั้นกระจายสู่มหาสมุทรแอนตาร์กติกแล้ว ธารน้ำแข็งนี้จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 10 เซ็นติเมตร ด้าน มาร์ติน โอเลียรี (Martin O'Leary) นักธารน้ำแข็งวิทยาจากมหาวิทยาลัยสวอนซี (Swansea University) สหราชอาณาจักร และสมาชิกทีมโครงการมิดาสอีกคนกล่าวว่า น้ำแข็งด้านหน้าของลาร์เซนซีหนนี้หดไปลึกกว่าครั้งใดๆ เท่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ และทีมนักวิจัยกำลังจับตาดูอย่างรอบคอบถึงสัญญาณว่า หิ้งน้ำแข็งส่วนที่เหลือจะไม่เสถียร ลุคแมนเสริมว่าอีกหลายเดือนและหลายปีต่อจากหิ้งน้ำแข็งอาจจะค่อยใหญ่ขึ้นหรืออาจจะถูกกัดเซาะไปมากกว่านี้จนนำไปสู่การพังถล่มในที่สุดก็ได้ ซึ่งตอนนี้ความเห็นในประชาคมวิทยาศาสตร์กำลังแตกเป็นสองฝั่ง ซึ่งแบบจำลองของทีมพวกเขาบ่งชี้ว่า หิ้งน้ำแข็งจะเสถียรน้อยลง แต่การถล่มในวันข้างหน้านั้นยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรืออาจจะอีกหลายทศวรรษ์ต่อจากนี้ เมื่ออ้างข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายแล้ว กิจกรรมของมนุษย์นั้นได้เพิ่มระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศโลกประมาณ 1 องศาเซลเซียส นับแต่ยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และทวีปแอนตาร์กติกาเป็นบริเวณที่ร้อนขึ้นเร็วที่สุดในโลก ผู้จัดการออนไลน์ 12.07.17
อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม
This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท์ : 0 2201 7252-6 โทรสาร : 0 2201 7251,65 e-mail : info@dss.go.th
Wednesday March 18, 2020 7:31 PM 8:49 PM หน่วยงานนี้ทำข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการศึกษาค้นคว้าเท่านั้น มิใช่เพื่อการแสวงหาผลกำไร