ในตลาดมีเครื่องสำอางประทินผิวมากมาย ทั้งยี่ห้อที่คุ้นเคย ยี่ห้อของดารา ยี่ห้อของเน็ตไอดอล ซึ่งล้วนอวดสรรพคุณเสริมสร้างความงามอุดมคติมากมาย แต่เรามักไม่ได้เห็นข้อพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์เท่าไรนัก ล่าสุดนักวิจัยไทยได้สกัดสารสำคัญจาก “ผัก” ที่ช่วยชะลอวัยได้ถึงระดับยีน ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของเวชสำอางแห่งอนาคต ความเสื่อมสภาพหรือความแก่ (aging) เป็นปัญหากวนทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย โดยความเสื่อมสภาพนั้นเกิดได้ทุกระบบอวัยวะในร่างกาย และระบบอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญและเห็นผลจากความเสื่อมสภาพได้ชัดคือ "ผิวหนัง" ซึ่งสภาวะความเสื่อมสภาพของผิวหนังเกิด “แสงแดด" เป็นสาเหตุหลัก โดยแสงแดดจะไปกระตุ้นเอนไซม์ที่ทำทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง และกระตุ้นทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ "เมลานิน" ในชั้นผิวหนัง ก่อให้เกิดสีผิวไม่สม่ำเสมอ สีผิวเข้มขึ้น ส่วนการทำลายคอลลาเจนก็ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ผิวเหี่ยวย่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายล้วนเห็นความสำคัญเรื่องความเสื่อมสภาพของผิวหนัง และยอมลงทุนซื้อเครื่องสำอางราคาแพงมาดูแลผิวพรรณ บางคนก็ลงทุนซื้อเครื่องจากต่างประเทศ จึงทำให้ รศ.ดร.อุไรวรรณ พานิช จากภาควิชาเภสัชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เกิดความสนใจที่จะค้นหาสารออกฤทธิ์ยับยั้งผิวหนังเสื่อมสภาพเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของไทยสำหรับชะลอความเสื่อมภาพรศ.ดร.อุไรวรรณ พานิช เปิดเผยว่า ตลอด 10 ปีที่ทำงานวิจัยพบว่า รังสีจากแสงอาทิตย์มีผลทำให้เกิดการทำลายของคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง เพิ่มการผลิตเม็ดสีเมลานิน ผ่านกลไกภาวะเครียดออกซิเดชันกระตุ้นให้เอ็นไซม์ชนิดเมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส-1 (Matrix metalloproteinase-1) หรือ เอ็นไซม์ MMP-1 ทำให้เกิดริ้วรอย และยังกระตุ้นเอ็นไซม์ไทโรจิเนส (Tyroginase) ซึ่งเพิ่มการผลิตของเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวเข้มขึ้นและสีผิวไม่สม่ำเสมอ“ในเซลล์ผิวหนังมีนิวเคลียส และภายในนิวเคลียสนั้นมีสารพันธุกรรมที่มีโปรตีน NRF-2 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยับยั่งสภาวะเครียดออกซิเดชัน และสารสำคัญที่ได้จากพืชผักตระกูลบรอคโคลีมีฤทธิ์ในการกระตุ้นโปรตีน NRF-2 เพราะฉะนั้นจากอันตรายของแสงแดดที่มีผลต่อการทำลายของคอลลาเจนและเพิ่มเม็ดสี จึงถูกยับยั้งได้จากสารสังเคราะห์จากธรรมชาติ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบต้านออกซิเดชัน และสามารถช่วยชะลอผิวหนังเสื่อมสภาพ” รศ.ดร.อุไรวรรณกล่าวจากงานวิจัย รศ.ดร.อุไรวรรณพบว่ามีสารสำคัญอย่างหนึ่งที่สกัดได้จากผักชื่อสาร "ซัลโฟราเฟน" (Sulforaphane: SFN) ซึ่งพบปริมาณสูงในพืชตระกูลบรอคโคลี สารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการกระตุ้นโปรตีน และโปรตีนชนิดนี้มีความสำคัญเพราะสามารถไปเพิ่มประสิทธิภาพของระบบต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันระดับยีนหรือระดับโมเลกุล"เมื่อมีการเพิ่มการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันได้ดี ก็จะสามารถยับยั้งคอลลาเจนที่ถูกทำร้ายและทำให้การผลิตเม็ดสีเป็นไปอย่างปกติ เพราะฉะนั้นการค้นพบนี้จึงมีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ ทั้งในระดับเซลล์และในระดับสัตว์ทดลองว่า สาระสำคัญในผลิตภัณฑ์อาหารหรือพืชผักผลไม้ มีประโยชน์และน่าจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์บำรุงผิว" รศ.ดร.อุไรวรรณระบุทางทีมวิจัยยังได้ทดลองในสัตว์ทดลองด้วยการนำสารสกัดมาทาที่ผิวของสัตว์ทดลองและทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็นำไปฉายรังสียูวีเอ (UV A) และลอกผิวหนังออกมาตรวจวัดหาโปรตีนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยตรวจเทียบ 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ฉายรังสียูวีเอและไม่ทาสารซัลโฟราเฟน กลุ่มที่ไม่ฉายรังสียูวีแต่ทาสาร ซัลโฟราเฟน และกลุ่มที่ฉายรังสีและทาสาร ซัลโฟราเฟน"แม้ในขณะนี้ยังไม่มีตัวพาเพื่อนำสารซัลโฟราเฟนเข้าไปทำปฏิกิริยากับยีนโดย แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า สารสามารถออกฤกธิ์ได้จริง และหากมีตัวพาสารสำคัญไปยังเป้าหมายด้วย ก็อาจจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ได้มากยิ่งขึ้น นั้นหมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ตัวสารสกัดมากในการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งความเสื่อมสภาพของผิวหนัง” รศ.ดร.อุไรวรรณกล่าวระหว่างการบริโภคผักที่มีสารซัลโฟราเฟนนี้กับการทาผิวโดยตรงนั้นแบบไหนจะให้ผลได้ดีกว่ากัน รศ.ดร.อุไรวรรณ ได้อธิบายเรื่องนี้แก่ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า การกินนั้นจะได้รับสารสำคัญที่มีอยู่ในผักผลไม้ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปก่อให้เกิดปฏิกิริยายับยั้งปฏิกิริยาเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ทว่าในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาผิวนั้นยังต้องกาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยนำส่งสารสำคัญไปยังตำแหน่งเป้าหมายที่ต้องการให้ออกฤทธิ์รศ.ดร.อุไรวรรณ เผยว่าการทาสารซัลโฟราเฟนจะให้ผลมากกว่าการรับประทานไปเนื่องจากร่างกายได้รับสารโดยตรง และไม่ต้องผ่านกระบวนการดูดซึมของร่างกายเพื่อไปออกฤทธิ์ที่ผิวหนัง และตอนนี้กำลังดำเนินการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านอนุภาคนาโน (nanoparticle) และพัฒนารูปแบบของสารสกัดตัวนี้ให้เป็นรูปแบบของนาโนฟอมูเลชัน (nano formulation) เพื่อที่จะเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญ"เมื่อมีการดูดซึมของสารสำคัญก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ จากนั้นก็จะนำมาทดลองตามขั้นตอน ว่าสูตรที่ค้นพบมีประสิทธิภาพจริง มีความปลอดภัยจริงและสามารถพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ สารที่สกัดออกมาทดลองในสัตว์นี้สามารถช่วยยับยั้งความเสื่อมสภาพได้เท่าไรนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของโปรตีน บางโปรตีนนั้นสามารถยับยั้งได้ถึงเกือบ 50%” ผศ.ดร.อุไวรรณกล่าวในอนาคตทีมวิจัยจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นมา ซึ่งในการพัฒนางานวิจัยชิ้นนี้ให้เป็นผลิตภัณฑ์นั้นต้องรับคำปรึกษาจากเภสัชกร เนื่องจากสาระของงานวิจัยนี้คือการค้นพบเรื่องของการทำงานและการออกฤทธิ์ของสารสกัดที่ได้จากผัก เบื้องต้นคาดว่าจะทำผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้าออกมาก่อน เพราะคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อริ้วรอยบนใบหน้า จากนั้นจะพัฒนาให้สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย"ถ้าพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาแล้วจะมีความแตกต่างตรงที่ สารที่ค้นพบจะไปออกฤทธิ์ที่โปรตีนที่ระบบต้านออกซิเดชันในระดับยีนได้ ต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นที่ไปออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน แต่ไม่ได้เจาะจงว่าไปออกฤทธิ์ที่ส่วนไหน" ผศ.ดร.อุไรวรรณกล่าวถึงการค้นพบครั้งนี้
Manager online 18.01.18
อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม
This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท์ : 0 2201 7252-6 โทรสาร : 0 2201 7251,65 e-mail : info@dss.go.th
Wednesday March 18, 2020 7:31 PM 8:49 PM หน่วยงานนี้ทำข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการศึกษาค้นคว้าเท่านั้น มิใช่เพื่อการแสวงหาผลกำไร