เป็นเวลาผ่านมานานนับหลายศตวรรษแล้วที่คนเราใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันกับเครื่องจักร แต่ในปี 2018 รูปแบบของการทำงานร่วมกันนี้จะถูกถักทอให้เข้ามาสู่การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ที่มาพร้อมกับความเสมือนจริงมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของทุกสิ่งตั้งแต่วิถีของการดำเนินธุรกิจ การจัดลำดับความสำคัญที่มีต่อการรักษาความปลอดภัย ไปจนถึงรูปแบบของการให้บริการด้านความบันเทิง เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต่อยอดมาจาก รายงาน 'ยุคหน้าของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และจักรกล (Next Era of Human-Machine Partnership' ที่เดลล์ เทคโนโลยีส์ และสถาบันเพื่ออนาคต (Institute for the Future: IFTF) ได้มีการตีพิมพ์ไปเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา บรรดาผู้นำของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ต่างร่วมกันแบ่งปันถึงผลกระทบของ AI, AR, IoT และ คลาวด์ คอมพิวติ้ง ที่จะช่วยเปลี่ยนองค์กร รวมถึงการใช้ชีวิตของทุกคนไปสู่ดิจิทัลในปี 2018พันธมิตรของเราที่สถาบันสำหรับอนาคต (IFTF - The Institute for the Future) ได้ทำนายไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ ยุคหน้าของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องกล และช่วงเวลาระหว่างปัจจุบัน และอนาคตในปี 2030 มนุษย์และเครื่องกลจะทำงานใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา เป็นเวลานานนับหลายศตวรรษที่เราทำงานกับเครื่องจักรกล แต่ ณ ปัจจุบัน เรากำลังจะก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ ในรูปแบบที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้นอย่างมหาศาล ให้ความเป็นหนึ่งเดียว และสร้างความเป็นไปได้มากขึ้นจากที่ผ่านมาเทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่ต่างๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เทคโนโลยีการผสานสภาพแวดล้อมจริงกับวัตถุเสมือน (Augmented Reality หรือ AR) เทคโนโลยีการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR) ไปจนถึงความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) และคลาวด์ คอมพิวติ้ง ที่สร้างความเป็นไปได้จากการพัฒนาก้าวไกลทั้งเรื่องซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์ (analytics) ไปจนถึงพลังที่ใช้ในการประมวลผล เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเร่งไปสู่ทิศทางดังที่กล่าวมาหลักฐานยืนยันดูได้จากทั้งรถยนต์อัจฉริยะ (connected cars) บ้าน ธุรกิจและการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ หรือแม้กระทั่งการที่เกษตรกรเปลี่ยนรูปแบบการจัดการพืชผลและการดูแลปศุสัตว์ เรามาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ ในการพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้ากันอย่างมึนงงนี้คำทำนายที่ 1 : AI จะจัดการ 'งานที่ใช้ความคิด' ได้อย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนรูปแบบในการที่เราใช้เวลาไปกับข้อมูล ไม่ใช่แค่เพียงเก็บรักษาเท่านั้น ธุรกิจต่างๆ จะควบคุม AI ให้ 'ทำงานที่ต้องใช้ความคิด' (thinking tasks) วิเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อลดเวลาที่ต้องใช้ในการกำหนดขอบเขตด้านข้อมูล การถกประเด็น สำหรับการวางแผนสถานการณ์ในอนาคต (scenario planning) และการทดสอบทุกนวัตกรรมใหม่ เทคโนโลยี AI จะช่วยลดปัญหาคอขวดที่เป็นอุปสรรค และให้อิสระกับผู้คนเพื่อตัดสินใจได้มากขึ้นและเร็วขึ้น การมีข้อมูลความรู้จะช่วยให้แผนการหรือโครงการใหม่ๆ ไม่เกิดการติดขัด สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ที่จะกลายเป็นผู้นำวัตกรรมด้าน AI จะเริ่มมองเห็นตัวอย่างที่เป็นจริง จากการที่ประโยชน์ต่างๆ ในเรื่องเหล่านี้ กลายเป็นความจริงสำหรับธุรกิจนักทฤษฏีหลายรายระบุว่า AI จะเข้ามาแทนที่การทำงานในส่วนต่างๆ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้อาจก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รวมทั้งช่วยปลดปล่อยโอกาสใหม่ๆ ให้กับมนุษยชาติ ยกตัวอย่าง การเกิดขึ้นของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในแขนงใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การฝึกอบรม AI และปรับรูปแบบการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ หรือประสิทธิภาพการทำงานให้เป็นไปตามความต้องการ ทั้งนี้ ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นแหล่งรวบรวมทักษะความสามารถเหล่านี้ โดย AI จะมีอิทธิพลเหนือทักษะต่างๆ สำหรับผู้มีความสามารถโดดเด่นในอนาคต ซึ่งนักปฏิบัติเหล่านี้จะเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดตัวแปรว่าอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควรถูกจัดหมวดหมู่ไว้ในด้านผลลัพธ์ที่ดีทางธุรกิจ และตัดสินใจในด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและเมื่อทั้งหมดนี้เข้าที่เข้าทาง เทคโนโลยีจะสามารถชี้แนะโอกาสเชิงบวกในการดำเนินธุรกิจด้วยความเร็วสูงสุด ดูได้จากตัวอย่างของการใช้ AI ในด้านการประมวลผลทางความคิดในธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ การเกษตรกรรม ไปจนถึงบริการด้านการเงิน ดังนั้น ความท้าทายจะตกอยู่กับองค์กรที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าในเชิงธุรกิจของเทคโนโลยีต่างๆ ด้าน AI รวมทั้งต้องมั่นใจได้ว่ามีโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกต้อง และมีบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษอยู่ในมืออีกด้วยคำทำนายที่ 2 : การเพิ่มความฉลาด (IQ) ให้กับสรรพสิ่ง หรือ Thingsเริ่มต้นในปี 2018 เราจะมุ่งสู่การก้าวหน้าขนานใหญ่ในการฝัง (embed) สิ่งที่เป็นความฉลาด (intelligence) ไว้ในตัวเมือง องค์กรธุรกิจ บ้านเรือน และยานพาหหนะที่ยกระดับไปสู่ศักยภาพด้าน IoT ด้วยราคาของพลังการประมวลผลที่ลดลง พร้อมทั้งโหนดที่เชื่อมต่อกันที่ลดลงจนเกือบเป็น 0 เหรียญสหรัฐ เราจะมีจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อนับ 100,000 ล้านชิ้นในไม่ช้า และจะขยับขึ้นเป็นล้านล้านชิ้นข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เอามารวมกัน พลังประมวลผลด้วยขุมพลังของ AI จะช่วยให้เครื่องกลควบคุมทรัพยากรทางกายภาพ รวมถึงทรัพยากรมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น เราจะพัฒนาไปสู่ 'การเป็นผู้ควบคุมดิจิทัล' สำหรับเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมที่อยู่รายรอบตัวเรา เทคโนโลยีจะทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของตัวเรา ทุกๆ สิ่งจะทำงานได้อย่างฉลาดและช่วยให้เราใช้ชีวิตได้สมาร์ทยิ่งขึ้นเรากำลังเห็นเรื่องที่กล่าวมานี้ในรถยนต์ ซึ่งจะจัดมาพร้อมเซนเซอร์ในระบบอัลตร้าโซนิก เทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเป็นตัววัดระยะทางระหว่างยานพาหนะกับการจดจำท่าทาง (gesture recognition) และในที่สุด นวัตกรรมเหล่านี้จะทำให้การขับขี่อัตโนมัติกลายเป็นความจริงที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น เราจะต้องทำความคุ้นเคยกับการใช้รถที่จะต้องจองเพื่อเข้าใช้บริการตามกิจวัตร แจ้งอู่ว่าต้องทำอะไรบ้างและกำหนดตารางการอัปเดตซอฟต์แวร์ด้วยตัวเองภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับนวัตกรรม IoT และการติดตั้งใช้งาน มีการลงทุนเพิ่มขึ้น และปัจจัยสำคัญอย่างเช่น ความริเริ่มจากภาครัฐบาล และความก้าวหน้าของ 5G กำลังเป็นแรงขับเคลื่อน
Manager online 22.01.18
อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม
This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท์ : 0 2201 7252-6 โทรสาร : 0 2201 7251,65 e-mail : info@dss.go.th
Wednesday March 18, 2020 7:31 PM 8:49 PM หน่วยงานนี้ทำข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการศึกษาค้นคว้าเท่านั้น มิใช่เพื่อการแสวงหาผลกำไร