น้ำจืดบนโลกนั้นพบได้ในทะเลสาบ แม่น้ำ ดิน หิน น้ำบาดาล และน้ำแข็ง ซึ่งน้ำจืดจากแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่หลุดออกมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้น มีนัยสำคัญต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่วนน้ำจืดบนบกนั้นเป็นทรัพยากรโลกที่สำคัญ ทั้งเป็นน้ำดื่มและเพื่อการเกษตร ขณะที่บางพื้นที่การจ่ายน้ำเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่พื้นที่อื่นนอกเหนือออกไปนั้นกลับเผชิญภาวะน้ำท่วมหรือไม่น้ำแล้ง “สิ่งที่เรากำลังเป็นประจักษ์พยานคือการเปลี่ยนแปลงทางอุทกวิทยาอย่างมหาศาล เราได้เห็นรูปแบบที่เด่นชัดของบริเวณที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของโลกชุ่มน้ำมากขึ้น ซึ่งพื้นที่เหล่านี้อยู่ในละติจูดสูงๆ และเขตร้อน ขณะที่พื้นที่แห้งแล้งกลับแล้งมากขึ้น เมื่อผนวกเข้ากับพื้นที่แห้งแล้งเราได้เห็น “จุดร้อน” ในหลายพื้นที่ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียน้ำใต้ดิน” เจย์ เฟมิกลิเอตติ (Jay Famiglietti) ผู้ร่วมศึกษาเรื่องนี้จากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน (Jet Propulsion Laboratory: JPL) ของนาซาในพาสาดีนา แคลิฟอร์เนีย กล่าวเฟมิกลิเอตติระบุด้วยว่า ขณะที่สูญเสียน้ำไปในบางภูมิภาคอย่างการละลายของแผ่นน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งนั้น ชัดเจนว่ามีปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แต่การเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำจืดในพื้นที่อื่นๆ นั้น ยังต้องใช้ทั้งข้อมูลและเวลามากกว่านี้ เพื่อพิจารณาว่าอะไรคือปัจจัยทั้งนี้ แบบจำลองจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า พื้นที่มีน้ำมากจะยิ่งมีน้ำมากขึ้น แต่พื้นที่แห้งแล้งกลับจะยิ่งแห้งแล้งมากขึ้น แต่เฟมิกลิเอตติกล่าวว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังต้องอาศัยชุดข้อมูลที่ยาวนานกว่านี้อีกมาก เพื่อที่จะบอกได้อย่างชัดๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดรูปแบบอย่างเดียวกันนี้เหมือนที่ได้จากข้อมูลดาวเทียมเกรซสำหรับดาวเทียมเกรซนั้นเป็นดาวเทียมแฝดที่ส่งขึ้นไปเมื่อปี 2002 ในปฏิบัติการความร่วมมือกับศูนย์การบินอวกาศเยอรมัน (German Aerospace Center: DLR) โดยดาวเทียมทั้งคู่สามารถระยะทางระหว่างกันได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้เพื่อตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็กโลก อันเกิดจากการเคลื่อนย้ายของมวลบนโลกที่อยู่เบื้องล่างดาวเทียมทั้งสอง ซึ่งวิธีการดังกล่าวทำให้ดาวเทียมเกรซได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของแหล่งเก็บน้ำบนโลกทุกเดือน จนกระทั่งปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของดาวเทียมได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือน ต.ค. 2017 ที่ผ่านมาอย่างไรก็ตาม ข้อมูลสังเกตการณ์จากดาวเทียมเกรซเพียงอย่างเดียว ไม่อาจบอกได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงแหล่งน้ำดังที่ปรากฏ โรเดลล์, เฟมิกลิเอตติ และทีมจึงตรวจสอบข้อมูลปริมาณน้ำฝนและน้ำจากฟ้าในรูปแบบต่าง การเกษตร การสูบน้ำบาดาล เพื่อหาคำอธิบายที่เป็นไปได้ สำหรับเมินการเปลี่ยนปริมาณน้ำที่ได้จากข้อมูลดาวเทียมเกรซแม้ว่าการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรนั้นจะมีส่วนสำคัญต่อการลดลงของน้ำจืดทั่วโลก ขณะเดียวกันระดับน้ำใต้ดินก็อ่อนไหวต่อวัฏจักรความแห้งแล้งที่ยาวนานหรือฝนที่ตกยาวนาน ซึ่งเฟมิกลิเอตติระบุว่า เมื่อเกิดปัจจัยทั้งสองพร้อมๆ กัน จึงเป็นเหตุให้ปริมาณน้ำใต้ดินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังที่สำรวจพบในหุบเขาเซ็นทรัลวัลเลย์ที่แคลิฟอร์เนียระหว่างปี 2007-2015 ซึ่งฝนและหิมะที่เติมเต็มน้ำใต้ดินนั้นลดลง กอปรกับมีการสูบน้ำใต้ดินขึ้นไปใช้ทางการเกษตรมากขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคลิฟอร์เนียนั้นสูญเสียน้ำจืดในช่วงเวลาเดิมๆ ปีละ 4 กิกะตัน ซึ่งปริมาณน้ำ 1 กิกะตันนั้นเราสามารถเติมให้สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิกได้ถึง 400,000 สระ โดยแหล่งน้ำจืดหลักๆ ของแคลิฟอร์เนียนั้นมาจากฝนและหิมะที่สะสมอยู่ ณ ทุ่งหิมะละลายในเซียร์ราเนวาดา โดยหิมะจะค่อยๆ ละลายลงสู่แหล่งน้ำผิวดิน แต่เมื่อวัฏจักรทางธรรมชาติทำให้ฝนและหิมะตกน้อยลง เป็นเหตุให้ทุ่งหิมะและน้ำผิวดินมีขนาดเล็กลง ยิ่งส่งผลให้คนใช้น้ำใต้ดินกันหนักหน่วงยิ่งขึ้นการลดลงของน้ำจืดที่เห็นได้ชัดในซาอุดิอาระเบียนั้นสะท้อนถึงการทำเกษตรที่หนักหน่วง โดยระหว่างปี 2002-2016 นั้น ซาอุฯ สูญเสียน้ำใต้ดินมากถึงปีละ 6.1 กิกะตัน ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียมแลนแซทเผยให้เห็นประเทศที่แห้งแล้งนี้มีการเติบโตของพื้นที่เกษตรที่มีการจัดสรรน้ำเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ดมาตั้งแต่ปี 1987 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่อธิบายได้ถึงการ ความแห้งแล้งที่เพิ่มมากขึ้นทีมวิจัยยังพบด้วยว่าการผนวกกันระหว่างปัจจัยทางธรรมชาติและความบีบคั้นจากมนุษย์นั้น จะทำให้ภาพสมมุติอันเลวร้ายในบางพื้นที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น อย่างมณฑลซินเจียงของจีนที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีทิศตะวันตกติดคาซัคสถาน และติดทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan desert) ทางตอนใต้ และรายล้อมด้วยเทือกเขาเทียนซาน (Tien Shan Mountains) ก็เคยประสบภาวะน้ำแล้งเมื่อหลายทศวรรษก่อน แต่ไม่ได้รับการบันทึกข้อมูลไว้โรเดลล์และคณะพยายามประกอบภาพปัจจัยต่างๆ เพื่ออธิบายถึงการสูญเสียน้ำในแหล่งน้ำจืดที่ซนเจียงมากถึงปีละ 5.5 กิกะตัน ซึ่งไม่อาจกล่าวโทษเพียงเพราะปริมาณน้ำฝนน้อย เนื่องจากน้ำผิวดินได้รับการเติมเต็มจากน้ำแข็งละลายที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ รวมถึงการสูบน้ำใต้ดินออกจากเหมืองถ่านหิน แต่การลดลงของน้ำจืดนั้นยังเป็นผลจากการใช้น้ำไปในการเกษตรระบบชลประทาน รวมถึงการระเหยของแม่น้ำในทะเลทรายดาวเทียมรุ่นถัดไปที่จะขึ้นไปปฏิบัติภารกิจต่อจากดาวเทียมเกรซคือดาวเทียมเกรซฟอล์โลว์ออน (GRACE Follow-On) อันเป็นปฏิบัติการร่วมระหว่างนาซาและศูนย์วิจัยเยอรมันทางด้านภูมิศาสตร์ (German Research Centre for Geosciences: GFZ) ซึ่งกำลังประจำอยู่ที่ฐานทัพอากาศแวนเดอร์เบิร์ก เพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งดาวเทียมรุ่นใหม่นี้ในวันที่ 22 พ.ค.2018 ที่จะถึงนี้
Manager online 18.05.18
อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม
This site is copyright @ 2005 สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 75/7 ถ.พระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทรศัพท์ : 0 2201 7252-6 โทรสาร : 0 2201 7251,65 e-mail : info@dss.go.th
Wednesday March 18, 2020 7:31 PM 8:49 PM หน่วยงานนี้ทำข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการศึกษาค้นคว้าเท่านั้น มิใช่เพื่อการแสวงหาผลกำไร